Our Fish

วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2553

หยุดซื้อขายปลา ซัคเกอร์กันสักที


พิชิต ไทยยืนวงษ์
cichlidbox@hotmail.com
หยุดซื้อขายปลาซัคเกอร์กันเสียที
ใครจะไปคิดล่ะครับ ว่าปลาน้ำจืดชนิดหนึ่งที่เลี้ยงไว้สำหรับกินตะไคร่น้ำในตู้ปลาจะกลายมาเป็นมหันตภัยร้ายแรงต่อระบบนิเวศของแหล่งน้ำธรรมชาติในบ้านเราทุกวันนี้
ปลาตัวที่ว่ามีชื่อเรียกกันทั่วไปว่า “ปลาซัคเกอร์” ชื่อนี้มาจากลักษณะพฤติกรรมการหากินของมันคือใช้ปากที่ธรรมชาติออกแบบมาให้มีรูปคล้ายจานคว่ำดูดกินอาหารซึ่งก็คือตะไคร่น้ำและแทบทุกอย่างที่มันพอจะหาดูดได้ตามพื้นผิวต่าง ๆ เช่น ท้องน้ำที่เป็นดินโคลน ก้อนหิน โขดหิน ซากต้นไม้ ซากปลาตาย ฯลฯ ปลาซัคเกอร์มีถิ่นกำเนิดอยู่ในแหล่งน้ำของทวีปอเมริกาใต้ ชื่อวิทยาศาสตร์คือ Hypostomus plecostomus แต่ทั่วโลกรู้จักมันในชื่อ Suckermouth Catfish จัดอยู่ในกลุ่มปลาไม่มีเกล็ดเช่นเดียวกับปลาดุก ปลาสวาย ปลาแขยง ฯลฯ ลักษณะรูปทรงยาว ส่วนหัวมีขนาดใหญ่ หางแฉกมีปลายยาวเป็นเส้น ผิวหนังที่ไม่มีเกล็ดพัฒนาขึ้นจนมีความแข็งคล้ายเกราะและมีหนามเล็ก ๆ ป้องกันตัวจากการถูกสัตว์อื่นทำร้าย สีออกเทาดำ มีลายเป็นเส้นและจุดกระจัดกระจาย ที่เด่นชัดมากคือลักษณะของปากที่ออกแบบมาสำหรับดูด ภายในปากมีฟันซี่เล็ก ๆ แหลมคมใช้สำหรับขูดตะไคร่และพื้นผิวต่าง ๆ ปลาซัคเกอร์สามารถโตได้ถึง 50 ซ.ม. ซึ่งแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะนำมาเลี้ยงในตู้ปลา (ไม่ใช่เพราะใหญ่จนเลี้ยงไม่ได้ แต่เพราะยิ่งโตมันยิ่งดูน่าเกลียดจนหลายคนเรียกมันว่าปลาตุ๊กแก)
เมื่อประมาณปีพ.ศ. 2520 ได้มีการนำปลาชนิดนี้เข้ามาเลี้ยงเพื่อทำความสะอาดตู้ปลาเนื่องจากในตู้ปลามักมีตะไคร่บ้างหรือเศษอาหารที่เหลือตกค้างบ้าง ซึ่งก็ได้ผลดีเพราะถูกกับอุปนิสัยของปลาซัคเกอร์ที่เป็นปลาอึดอดทนอยู่ได้ทุกสภาพน้ำและกินทุกอย่างอยู่แล้ว จึงได้รับความนิยมเป็นอย่างมากถึงกับตั้งชื่อไทยเสียใหม่ว่า “ปลาเทศบาล” เพราะเก็บกวาดทำความสะอาดได้ดี (ความเข้าใจในคำว่าเทศบาลของคนไทยยุคนั้นคงเป็นอย่างนั้น) ใครที่เลี้ยงปลาเป็นต้องหาซื้อปลาเทศบาลหรือซัคเกอร์มาไว้ใช้งานด้วยทุกคนไป
ซัคเกอร์เป็นปลาเลี้ยงง่ายและเพาะพันธุ์ง่าย สามารถแพร่ขยายสายพันธุ์ได้ในทุกสภาพน้ำแม้กระทั่งในน้ำที่ขาดออกซิเจน เพราะฉะนั้นจากทีแรกที่ราคาค่อนข้างสูงก็กลายมาเป็นปลาราคาถูกมาก ๆ จนเรียกได้ว่าแทบแจก ตามฟาร์มเพาะกันอย่างทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ ก็ให้ลูกล้นหลามไม่หยุดหย่อน คนเลี้ยงปลาเห็นซัคเกอร์ตัวเล็ก ๆ ราคาถูก ๆ ก็เหมาซื้อเสียหลายตัว กะให้ช่วยกันทำความสะอาดตู้ชนิดหมดจด ทว่าพอเลี้ยง ๆ ไปมันยิ่งโตใหญ่ขยายร่างจากซัคเกอร์น้อยกลายเป็นอสูรกายขนาดใหญ่ดำทะมึนอยู่ในตู้กระจก เจ้าของตู้เห็นชักไม่เข้าท่าก็หาวิธีกำจัด วิธีที่ดีที่สุดที่พอจะนึกออกคือเอาไปปล่อยแม่น้ำลำคลอง และนี่แหละก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการทำลายระบบนิเวศซึ่งขยายผลร้ายแรงมาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งถ้าคนไทยทุกคนยังไม่ตระหนักถึงภัยของมัน ในอนาคตแหล่งน้ำในธรรมชาติของเราคงเหลือปลาแค่ไม่กี่อย่าง พืชน้ำถูกทำลาย ตลิ่งถูกกัดเซาะ ตะกอนในน้ำเพิ่มมากจนทำลายสายพันธุ์สิ่งมีชีวิตอีกหลายอย่าง ความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งน้ำจะกลายเป็นความเสื่อมโทรมอย่างน่าสะพรึงกลัว
บางคนอาจสงสัยว่าถ้าเป็นเช่นนั้น ทำไมในท้องถิ่นธรรมชาติที่เป็นต้นกำเนิดของปลาซัคเกอร์จึงยังคงดำเนินอยู่ได้ แถมระบบนิเวศก็ยังแน่นหนามั่นคงสมบูรณ์เสียด้วย เช่นบริเวณลุ่มน้ำอเมซอน คำตอบคือปลาซัคเกอร์ถูกสร้าง (ค่อย ๆ วิวัฒนาการ) มาเพื่อให้สอดคล้องเหมาะสมกับธรรมชาติบริเวณนั้น ในขณะที่ศักยภาพของการขยายสายพันธุ์และการเอาตัวรอดมีสูง แต่การควบคุมกันเองโดยสัตว์นักล่าอื่น ๆ ก็มีมากไม่แพ้กันจนเรียกได้ว่าเกิดดุลยภาพอย่างน่าอัศจรรย์ ในขณะที่แหล่งน้ำเมืองไทยไม่เคยมีปลาที่มีศักยภาพในแบบเดียวกับปลาซัคเกอร์มาก่อน ฉะนั้นจึงบอบบางมากเมื่อมีปลาอึดโคตร ตัวใหญ่ ขยายพันธุ์เร็วและกินทุกอย่างที่ขวางหน้าโดยเฉพาะไข่ปลาที่เกาะติดตามพื้นผิวของวัสดุต่าง ๆ (ธรรมชาติของปลาไทยโดยมากมักวางไข่ติดกับขอนไม้ พื้นดิน) มาร่วมอยู่อาศัยด้วย ตามรายงานพบว่ามันกินไข่ปลาพื้นเมืองจนทำให้หลายสายพันธุ์ลดปริมาณลงอย่างน่าใจหาย และการขุดโพรงถ้ำสำหรับเป็นที่หลบซ่อนของมันก็ทำลายโครงสร้างของผนังตลิ่งจนพังทลาย ปัจจุบันปริมาณปลาซัคเกอร์ในแม่น้ำลำคลองหนาแน่นแทบจะทัดเทียมกับปลานิล (ซึ่งเป็นปลาต่างถิ่นเช่นกัน) ชาวประมงพบเห็นปลาซัคเกอร์จนเบื่อแทบอ้วก เหวี่ยงแหทีติดมาเป็นสิบกิโล นักตกปลาต่างเซ็งกันถ้วนหน้าเวลาตีเบ็ดแล้วติดซัคเกอร์ตัวโตเท่าแขน นั่นเพราะมันเป็นปลารูปร่างน่าเกลียด แถมเนื้อก็ไม่ค่อยอร่อย (ตามที่ได้ยินเขาว่ามา) จะให้ใครเขาก็ไม่เอา จะฆ่าทิ้งก็กลัวบาป สุดท้ายเลยโยนกลับลงคลองตามเดิม กลายไปเป็นปัญหาระบบนิเวศต่อไปอย่างสนุกสนานครื้นเครง
แล้วจะทำยังไงกันดีล่ะครับ?
ก็อย่างที่จั่วหัวเรื่องไว้ไง เมื่อรู้อยู่แล้วว่าปลาชนิดนี้สร้างผลเสียมากกว่าผลดี (ซึ่งแทบจะไม่มีเอาเสียเลย) ก็ควรเริ่มต้นที่ไม่ซื้อมาเลี้ยง หาปลาไทยบางสายพันธุ์ที่มีความสามารถในการกินตะไคร่หรือเก็บเศษอาหารปลามาเลี้ยงแทน เช่นปลาน้ำผึ้ง ปลามูด ปลาเล็บมือนาง หรือแม้กระทั่งกุ้งบางชนิดอย่างกุ้งกล้วยหอมก็ใช้งานได้ดีทีเดียว แถมยังราคาถูกมากอีกด้วย เมื่อพร้อมใจกันไม่ซื้อมาเลี้ยง ผู้เพาะพันธุ์ก็คงไม่เพาะต่อให้เมื่อยตุ้ม ต่อจากนั้นก็คงต้องพึ่งทางการอย่างเช่นกรมประมงหรืออะไรก็ได้ที่เข้าถึงกลุ่มเกษตรกร อย่าให้มีการนำปลาที่ขายไม่ได้แล้วไปปล่อยตามแหล่งน้ำธรรมชาติโดยเด็ดขาด หน่วยงานนี้คงต้องไปตระเวนแถวหน้าวัดด้วย เพราะเดี๋ยวนี้มีการค้าขายรูปแบบใหม่ (หรือเก่าก็ไม่ทราบ) คือตั้งบูธขายปลาสำหรับปล่อยเอาบุญ นอกจากปลาไหล ปลาช่อน ปลาพื้นเมืองตามอย่างที่เคยใช้กัน เดี๋ยวนี้เพิ่มเมนูใหม่คือปลาหมอสี (พวกครอสบรีดหัวโหนก ๆ ) และปลาซัคเกอร์ เข้าไปด้วย โดยเปลี่ยนชื่อให้ดูขลังหน่อยว่าปลาราหู ปล่อยแล้วเคราะห์ร้ายจากราหูก็จะหลุดลอยไป เขาว่างั้น แต่กลายเป็นหลุดไปสิงในแหล่งน้ำธรรมชาติที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่แทนเนี่ยสิ
ร้านขายปลาทั่วไปก็ควรหาความรู้ใส่ตัว ไม่ใช่สักแต่ขายลูกเดียว ผมเคยได้ยินบางร้านบอกกับลูกค้าว่าปลาซัคเกอร์ถ้าเลี้ยงแล้วตัวใหญ่ก็ให้เอาไปปล่อยคลอง (ปลาหมอสีอีกอย่าง) ทั้งที่จริง ๆ แล้วไม่ควรขายเลยด้วยซ้ำ หรือว่าถ้ายังมีขายอยู่ก็ควรอธิบายให้ลูกค้าฟังถึงผลกระทบต่อระบบนิเวศธรรมชาติ (ถ้ารู้หรือตามข่าวอยู่บ้าง) และบอกกับผู้เลี้ยงว่าอย่าปล่อยแหล่งน้ำธรรมชาติเด็ดขาดถึงแม้จะใหญ่คับตู้เพียงใดก็ตาม ทางแก้ที่ดีที่สุดคือหาปลาสายพันธุ์อื่นที่มีประสิทธิภาพใกล้เคียงไปเลี้ยง หรือไม่ถ้ามีความจำเป็นไม่สามารถเลี้ยงต่อไปได้ก็ควรเอามาให้ร้านหรือทำลายทิ้ง (อย่างหลังนี่สำหรับคนไทยร้อยทั้งร้อยคงทำไม่ลง)
จะว่าไปชาวพื้นเมืองทางอเมริกาใต้เขาก็กินปลาซัคเกอร์นี้เหมือนกันนะครับ ผมเคยอ่านวารสารของกรมประมง ฉบับนั้นก็ว่าด้วยเรื่องผลกระทบทางด้านลบของการที่ปลาซัคเกอร์เข้ามาแพร่พันธุ์อยู่ในแหล่งน้ำเมืองไทย ท่านแนะนำว่าเนื้อปลาซัคเกอร์นี้ถ้าปรุงดี ๆ ก็อร่อย เพราะเนื้อจะออกเหนียวไม่ร่วนเหมือนปลาชนิดอื่น สามารถทำอาหารประเภทลาบ น้ำตก อะไรทำนองนี้ได้สบาย น่าจะมีแข่งขันปรุงอาหารโดยใช้เนื้อปลาซัคเกอร์ว่าแม่ครัวสำนักไหนจะออกแบบเมนูจานเด็ดได้แจ๋วกว่ากัน และจะให้ดีผมว่าน่าจะเปลี่ยนชื่อปลาตัวนี้เสียหน่อยก็น่าจะเข้าท่า เพราะไม่ว่าจะชื่อซัคเกอร์หรือปลาเทศบาลก็ล้วนฟังดูไม่น่ากิน หรือชื่อไทยที่ตั้งกันอย่างเป็นทางการว่า “ปลากดเกราะ” ก็ฟังไม่เสนาะหู ท่านผู้อ่านลองเอาไปคิดเล่น ๆ เป็นการบ้านไหมครับ ว่าควรจะให้ชื่อไทยกับเจ้าซัคเกอร์นี้ว่าอะไรดีถึงจะฟังดูน่ากิน

วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2553

10 คำถาม เกี่ยวกับการเปลี่ยนถ่ายน้ำตู้ปลา

พิชิต ไทยยืนวงษ์
Cichlidbox@hotmail.com


1 ทำไมต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำ?
น้ำที่ใช้เลี้ยงปลาจะปริมาณของเสียเพิ่มขึ้นทุกวัน เช่นขี้ปลา เศษอาหารตกค้าง ฝุ่นตะกอน เมือกปลา เศษใบไม้ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ทำให้คุณภาพน้ำเสื่อมลง มากน้อยหรือเร็วแค่ไหนขึ้นอยู่กับขนาดของตู้ จำนวนปลาและระบบกรอง การเปลี่ยนถ่ายน้ำคือการนำน้ำเสียออกส่วนหนึ่งแล้วเติมน้ำสะอาดสดใหม่ลงไปแทนทำให้คุณภาพน้ำดีขึ้น

2 ตู้ปลาที่มีระบบกรองน้ำยังต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำอีกหรือไม่?
ตู้ปลาหรืออ่างปลาทุกแบบจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนถ่ายน้ำ ไม่ว่าจะมีระบบกรองน้ำหรือไม่ จริงอยู่ที่ว่าระบบกรองช่วยทำให้คุณภาพดีขึ้น แต่ด้วยความจำกัดทางด้านขนาดและขั้นตอนการใช้งาน ทำให้มันช่วยเราได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น แต่อย่างไรก็ดีตู้ที่มีระบบกรองน้ำที่ออกแบบมาอย่างถูกต้องก็สามารถช่วยยืดระยะเวลาการเปลี่ยนถ่ายน้ำให้นานขึ้นหลายเท่าหากเทียบกับตู้ที่ไม่มีระบบกรองน้ำหรือมีระบบกรองแบบพื้นฐาน

3 ระยะเวลานานเท่าใดจึงควรเปลี่ยนถ่ายน้ำ?
โดยปรกติตู้ขนาดเล็กและกลางควรเปลี่ยนถ่ายน้ำสัปดาห์ละครั้ง ส่วนตู้ขนาดใหญ่นั้นสองสัปดาห์ครั้ง แต่หากมีระบบกรองน้ำที่ดีหรือเลี้ยงปลาไม่หนาแน่น ระยะเวลาก็อาจยืดออกไปได้ แต่ก็ไม่ควรนานนัก

4 ปริมาณของน้ำที่เปลี่ยนถ่ายควรอยู่ที่เท่าใดจึงจะเหมาะสม?
ปลาขนาดเล็กมีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมโดยเฉพาะน้ำ จึงไม่ควรเปลี่ยนถ่ายเกิน 20 เปอร์เซ็นต์ ส่วนปลาใหญ่ ปลาที่ขับถ่ายของเสียมากหรือปลาที่กินอาหารสด ตู้ปลาที่เลี้ยงอย่างหนาแน่น จำเป็นต้องเปลี่ยนมากกว่านั้น คือ 25-30 เปอร์เซ็นต์ต่อครั้ง
ข้อควรระวัง...อย่าเปลี่ยนถ่ายน้ำทีเดียวหมดตู้เพราะปลาอาจช็อคน้ำใหม่ หากตู้สกปรกมากก็เปลี่ยนถ่ายให้บ่อยขึ้นในปริมาณเท่าเดิม

5 ขั้นตอนการเปลี่ยนถ่ายน้ำมีอย่างไรบ้าง?
ขั้นแรกให้ปิดระบบไฟฟ้าทุกอย่างภายในตู้ก่อน จากนั้นก็เริ่มเช็ดทำความสะอาดกระจกด้านใน ปล่อยให้ตกตะกอนราวสิบนาที ใช้กรวยดูดน้ำ (ไซฟอน) ดูดเอาสิ่งสกปรกออกโดยกดครอบลงไปตามพื้นกรวด หากใช้สายยางธรรมดาจะไม่ดีนักเพราะต้องคุ้ยพื้นให้ตะกอนฟุ้งเพื่อจะดูดออกทำให้น้ำขุ่น พอน้ำหมดในระดับที่สมควร (20-25%) ก็หยุด จัดตู้ตามต้องการ เปิดน้ำเติมเบา ๆ พยายามปล่อยให้น้ำไหลผ่านอากาศก่อนลงตู้ได้จะยิ่งดี ทำความสะอาดภายนอกที่อาจเลอะเทอะจากการทำงาน ขั้นตอนสุดท้ายก็เสียบปลั๊กไฟให้ระบบกรองน้ำกับแสงสว่างทำงานตามเดิม

6 จำเป็นต้องเอาวัสดุกรองออกมาล้างทำความสะอาดด้วยหรือไม่?
วัสดุจำพวกใยกรองต้องเอาออกมาซักล้างทุกครั้ง ส่วนวัสดุกรองส่วนในเช่นหินพัมมิส ไบโอบอล เซรามิคริง (แล้วแต่จะใช้อย่างไหน) ให้เอาออกมาล้างนาน ๆ ครั้งโดยใช้น้ำฉีดเบา ๆ ก็พอแล้วเอาใส่กลับทันที

7 จำเป็นต้องเอากรวดปูพื้น หิน และสิ่งประดับต่าง ๆ ออกมาในขณะเปลี่ยนถ่ายน้ำหรือไม่?
กรวดปูพื้นนั้นไม่จำเป็น ส่วนหินและสิ่งประดับตกแต่ง หากเห็นว่ามีคราบเกาะดูไม่สวย (แต่บางคนชอบ) ก็เอาออกมาล้างข้างนอกได้ หรืออาจใช้วิธีแปรงเบา ๆ แล้วรอให้ฝุ่นตกตะกอนก่อนดูดออกพร้อมน้ำ

8 ควรย้ายปลาออกมาขณะเปลี่ยนถ่ายน้ำหรือไม่?
ไม่ควร เพราะการย้ายปลาทำให้ปลาเกิดความเครียด เมื่อเครียดแล้วปลาอาจป่วยได้ง่าย วิธีที่ถูกต้องคือค่อย ๆ ทำความสะอาดอย่างเบามือ ขัดถูช้า ๆ เมื่อทำเป็นประจำปลาจะเคยชินไม่ตื่นตกใจ และมีไม่น้อยที่ปลาชอบเข้ามาเล่นกับมือเราเวลาเปลี่ยนถ่ายน้ำ ทำให้สนุกดีไปอีกแบบ

9 มีน้ำยาอะไรที่ต้องใส่หลังเปลี่ยนถ่ายน้ำบ้าง?
สำหรับการเปลี่ยนถ่ายน้ำแบบปรกติ (20-25%) ไม่จำเป็นต้องใส่น้ำยาอะไรลงไปทั้งสิ้น เพราะปริมาณน้ำที่เปลี่ยนไม่มากนัก อย่าเชื่อร้านขายปลาที่แนะนำยาต่าง ๆ โดยเฉพาะยาประเภทฆ่าเชื้อหรือยาทำให้น้ำใส ผลิตภัณฑ์เหล่านั้นควรใช้เป็นกรณี ๆ การใช้พร่ำเพรื่อหรือใช้ทุกครั้งจะทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพปลา ส่วนการเปลี่ยนถ่ายน้ำในปริมาณที่มาก (อาจด้วยความจำเป็น) ก็ควรระมัดระวังเรื่องของคลอรีนหากเป็นน้ำประปา เป็นไปได้อาจใช้เครื่องกรองน้ำที่ขจัดคลอรีนได้หรือเติมน้ำยาลดคลอรีนลงในน้ำก่อนเติมลงตู้

10 หลังเปลี่ยนถ่ายน้ำทำไมน้ำจึงขุ่น?
เพราะฝุ่นตะกอนที่ถูกกวนลอยฟุ้งขึ้นมา แม้ว่าจะใช้ไซฟอนดูดน้ำอย่างเบามือแต่ก็จะยังมีฝุ่นตะกอนบ้างอยู่ดี ไม่จำเป็นต้องกังวลนักเพราะมันจะตกตะกอนและใสไปเองภายในไม่นาน ไม่จำเป็นต้องเติมน้ำยาทำให้น้ำใสใด ๆ ทั้งสิ้น

เตรียมตัวอย่างไรกับการเลี้ยงปลาหน้าหนาว


พิชิต ไทยยืนวงษ์
cichlidbox@hotmail.com

เตรียมตัวอย่างไรกับการเลี้ยงปลาหน้าหนาว

ลมหนาวเริ่มกราวเข้ามาทางหน้าต่าง ผมได้กลิ่นลมหนาวผสานกับกลิ่นดอกสัตตบรรณหอมสดชื่น แถวบ้านมีต้นไม้ชนิดนี้ปลูกเรียงไปตามบาทวิถี หน้าหนาวทีก็จะพากันออกดอกพรึบส่งกลิ่นหอมฟุ้ง ถ้าอยู่ห่าง ๆ หน่อยกลิ่นก็จะหอมละมุนละไม ทว่าถ้าไปอยู่ใกล้ใต้ต้นกลับรู้สึกว่าหอมแรงจนชักจะเวียนหัว
ลมหนาวสร้างบรรยากาศดี ๆ หลายอย่าง ทว่าสำหรับคนเลี้ยงปลาแล้ว ลมหนาวก็ค่อนข้างจะเป็นอะไรที่ต้องระแวดระวังกันไว้บ้างเหมือนกัน ช่วงอากาศเย็นอย่างนี้มักมีปัญหาโรคปลาระบาด เห็นบ่อยที่สุดคือโรคจุดขาวที่มีลักษณะเหมือนมีผงเกลือป่นโรยไว้บนตัวปลา อีกโรคคืออาการตกเลือด ลักษณะคือผิวหนังหรือครีบบางส่วนเป็นรอยจ้ำแดงคล้ำ โรคพวกนี้ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีก็สามารถตายได้ยกตู้ เพื่อความไม่ประมาทหาซื้อยามาไว้เตรียมพร้อม ถ้าไม่เป็นก็ดีไป แต่ถ้าเกิดเป็นขึ้นมาจะได้จัดการแก้ไขได้ เพราะจะว่าไปก็ไม่ใช่โรคร้ายแรงอะไรนัก
จุดขาวหรือ “อิ๊ค” นั้นเป็นโปรโตซัวชนิดหนึ่งที่ดำรงชีวิตอยู่ได้โดยอาศัยน้ำเลี้ยงจากเนื้อเยื่อของปลา ปลาที่เริ่มเป็นโรคจุดขาวจะมีอาการคันตัว ว่ายกระสับกระส่าย พยายามไถตัวกับพื้นหรือวัตถุแข็ง ๆ เพื่อให้จุดขาวหลุดออกไป เมื่อเป็นหนักเข้าก็จะซึม หมดเรี่ยวแรงและตาย ทั้งหมดนี้ใช้เวลาเพียงไม่กี่วันเท่านั้น
การรักษาโรคจุดขาวควรเริ่มตั้งแต่เห็นอาการขั้นแรก ๆ ปลาส่วนใหญ่เมื่อถูกจุดขาวโจมตีระยะแรกก็ยังไม่ออกอาการผิดปรกติ แม้ว่าจะสังเกตเห็นจุดขาว ๆ เล็ก ๆ ตามตัวตามครีบบ้างแล้วก็ตาม ยารักษาโรคจุดขาวมีมากมายหลายชนิดตามท้องตลาด โดยมากจะมีส่วนประกอบของสารฟอร์มาลินและมาลาไคท์กรีน การใช้ต้องระมัดระวังเรื่องปริมาณให้ดีเนื่องจากสารทั้งสองชนิดนี้เป็นพิษต่อปลา หากใช้เกินกว่ากำหนดจะกลายเป็นฆ่าปลาที่เลี้ยงไว้เสียเอง หรือใช้น้อยเกินไปตัวยาก็จะไม่มีความรุนแรงพอที่จะไปยับยั้งโรคได้
โรคตกเลือดเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในระยะที่ภูมิคุ้มกันโรคของปลาอ่อนแอ ร่างกายของปลาจะต่อต้านโรคโดยทำให้เส้นเลือดฝอยขยายตัว เช่นเดียวกับโรคจุดขาวคือถ้าเห็นอาการของโรคตั้งแต่ระยะแรกก็จะสามารถรักษาได้ไม่ยากเลย แต่ถ้าปล่อยไว้ไม่ทำอะไรเพียงไม่กี่วันปลาก็จะลาโลกอย่างง่ายดาย ยารักษาอาการตกเลือดมีหลายขนาน ส่วนมากคือยาปฏิชีวนะหรือยาฆ่าเชื้อ หาซื้อได้ตามร้านขายปลาทั่วไป
วันนี้จะไม่ลงลึกถึงอาการของโรคและวิธีรักษาเนื่องจากเคยคุยกันไปหลายครั้งแล้ว แต่อยากจะมาว่ากันถึงวิธีรับมือป้องกันจะดีกว่าครับ
ในช่วงหน้าหนาว อุณหภูมิเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก ปลาที่เลี้ยงปรับตัวไม่ทันจึงอยู่ในภาวะอ่อนแอ ง่ายต่อการติดเชื้อ สังเกตได้ว่าหลาย ๆ ท่านในระยะนี้ที่มีรสนิยมการเปลี่ยนถ่ายน้ำแบบนาน ๆ หลายเดือนทำสักครั้งมักมีปัญหาปลาเป็นโรคดังกล่าว นั่นเพราะสภาพน้ำในตู้ที่หมักหมมไว้นานทำให้เป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคชั้นดี ประกอบกับปลามีภูมิคุ้มกันโรคน้อยในช่วงอากาศเปลี่ยนแปลง เมื่อได้รับเชื้อเข้าไปก็ออกอาการแย่อย่างรวดเร็ว บางทีแค่คืนเดียวตายเกลี้ยงก็มี
ดังนั้นการป้องกันอันดับหนึ่งคือควรหมั่นเปลี่ยนถ่ายน้ำและทำความสะอาดระบบกรองบ่อย ๆ ครับ
การเปลี่ยนถ่ายน้ำที่ถูกต้องคือเปลี่ยนถ่ายครั้งละไม่เกิน 20-25% ของน้ำในตู้ทั้งหมด และน้ำที่จะเติมกลับเข้าไปต้องเป็นน้ำสะอาดปราศจากคลอรีน ที่สำคัญต้องมีอุณหภูมิเท่ากันกับน้ำในตู้ด้วย และการเปลี่ยนถ่ายน้ำควรทำเป็นประจำ สัปดาห์ละครั้งสำหรับตู้เล็กถึงขนาดกลาง เดือนละครั้งสำหรับตู้ขนาดใหญ่ที่มีระบบกรองดีเยี่ยม อย่าใช้วิธีสังเกตสีน้ำหรือสังเกตความขุ่น เพราะถ้าน้ำมันเปลี่ยนสีหรือขุ่นข้นขึ้นมาแล้วก็แสดงว่าความเป็นพิษในน้ำนั้นมากมายมหาศาลแล้ว
การทำความสะอาดระบบกรองต้องทำอย่างระมัดระวัง เนื่องจากกรองในตู้ปลามักเป็นกรองแบบชีวภาพ อาศัยจุลินทรีย์เป็นตัวย่อยสลายของเสียเปลี่ยนสภาพจากน้ำเสียมาเป็นน้ำดี การล้างควรล้างเฉพาะใยกรองที่เป็นด่านแรกที่น้ำในตู้ไหลผ่าน ส่วนวัสดุกรองนั้นไม่จำเป็นต้องเอาออกมาล้างบ่อยนัก เพราะจะทำให้จุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่สูญสลายไป (เสียดาย) ที่สำคัญ หลังจากเปลี่ยนถ่ายน้ำเสร็จก็อย่าไปใส่พวกเคมีภัณฑ์ทั้งหลายแหล่ (เช่นยาปรับสภาพน้ำใส ยาลดคลอรีน ยาฆ่าเชื้อ ยาฆ่าพยาธิ ฯลฯ) ตามคำโฆษณาจากบรรดาร้านขายปลา เพราะจะทำให้เชื้อจุลินทรีย์ถูกฆ่าไปด้วย ระบบนิเวศในน้ำก็จะเสียสมดุล
ลดปริมาณอาหารลง เพื่อช่วยให้คุณภาพน้ำดีขึ้น จากที่เคยให้วันละสองมื้อก็อาจเหลือแค่มื้อเดียว หรือจากที่เคยให้สิบเม็ดก็ปรับลงเหลือสักห้าหกเม็ดก็พอ ไม่ต้องกลัวว่ามันจะหิว เพราะสภาพอากาศแบบนี้ปลามักกินน้อยอยู่แล้วในธรรมชาติ
สำหรับคนที่เลี้ยงปลาด้วยอาหารสด ต้องระวังเชื้อโรคต่าง ๆ ที่จะมาพร้อมอาหาร เพราะอาหารสด ๆ เป็น ๆ เช่นลูกปลานิล กุ้งฝอย จะถูกกักไว้อย่างแออัดในร้านค้าขณะรอจำหน่าย บ่อยครั้งที่พบว่าเหยื่อเหล่านี้ติดเชื้อแบคทีเรียขั้นรุนแรงหรือโรคจุดขาวที่เห็นแล้วสยองขวัญมาก เป็นไปได้หาซื้อร้านที่มีระบบจัดเก็บแบบถูกสุขลักษณะอนามัย และถ้าเป็นไปได้ก็ควรเอาปลาเหยื่อเหล่านั้นมาเลี้ยงกักโรคไว้ก่อน เมื่อแน่ใจแล้วว่าปราศจากโรคค่อยเอาไปใช้งาน และอย่าให้เหยื่อเป็นครั้งละมาก ๆ เกินกว่าปลาจะกินหมดในหนึ่งมื้อ
อุปกรณ์บางอย่างก็น่าหาซื้อมาใช้กันมากในช่วงนี้ นั่นก็คือฮีทเตอร์ หรือเครื่องทำความร้อนในตู้ปลา ลักษณะเป็นแท่งแก้ว (หรือสแตนเลส) สามารถตั้งอุณหภูมิให้สูงขึ้นได้ตามต้องการ เดี๋ยวนี้ราคาไม่แพง หาซื้อได้ทั่วไป แต่ควรเลือกแบบที่มีเทอร์โมสตัดเพื่อให้ตัดการทำงานหากอุณหภูมิอยู่ในระดับที่ตั้งไว้แล้ว
ฮีทเตอร์มีประโยชน์คือทำให้อุณหภูมิในน้ำสูงขึ้นและคงที่ ตู้ปลาที่ติดตั้งฮีทเตอร์จะไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องโรคหน้าหนาว (ยกเว้นประเภทติดฮีทเตอร์แล้วแต่ก็ยังขี้เกียจเปลี่ยนถ่ายน้ำ อีแบบนี้ยังไงก็ต้องมีปัญหาอยู่ดี) การใช้งานฮีทเตอร์ก็ง่ายแสนง่าย ก่อนอื่นเลือกขนาดฮีทเตอร์ให้เหมาะกับขนาดตู้ปลาของเรา โดยใช้สูตรคำนวณคร่าว ๆ คือ 1 วัตต์ต่อน้ำ 1 ลิตร เช่นตู้ปลาขนาดจุน้ำ 100 ลิตร ก็ให้เลือกใช้ฮีทเตอร์ขนาด 100 วัตต์หรือใกล้เคียง ตั้งค่าฮีทเตอร์ไม่เกิน 30 องศาเซลเซียส ติดตั้งลงในตู้ปลาโดยจุ่มแช่ไว้เหลือแค่ส่วนหัวพ้นน้ำขึ้นมาเล็กน้อย (ทุกยี่ห้อจะมีขีดบอกระดับน้ำไว้) เสร็จแล้วค่อยเสียบปลั๊ก ไฟแสดงสถานการณ์ทำงานจะติดสว่าง ถ้าไฟดับแสดงว่าอุณหภูมิน้ำถึงจุดที่ตั้งไว้แล้ว (หรือไม่ก็เสีย)
ทำได้ดังนี้รับรองว่าหน้าหนาวก็ยังเลี้ยงปลาได้สบาย ๆ ขอให้สนุกกับการเลี้ยงปลาทุกท่านครับ

วันเสาร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2553

เทคนิคการให้อาหารปลาตอน 2


พิชิต ไทยยืนวงษ์
cichlidbox@hotmail.com

วิธีการให้อาหารปลา 1. เลือกอาหารที่เหมาะสมกับปลาที่เลี้ยง หากเลี้ยงปลาประเภทกินเนื้อสัตว์เป็นอาหาร ถึงแม้ว่าปลาจะสามารถปรับตัวเองให้กินอาหารเม็ดสำเร็จรูปได้แล้ว แต่ก็ยังเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องเลือกอาหารเม็ดที่ผลิตมาสำหรับปลากินเนื้อโดยเฉพาะ อาหารเม็ดโดยทั่วไปจะมีส่วนผสมของทั้งพืชและเนื้อสัตว์ เรียกได้ว่าออกแบบมากลางๆ สำหรับปลาสวยงามทั่วๆ ไป ซึ่งเป็นปลาประเภท Omnivores คือกินได้ทั้งสองแบบ แต่หากปลากินเนื้อกินอาหารแบบนี้เข้าไปนานๆ สุขภาพของมันก็จะไม่ดี เช่นเดียวกับปลากินเฉพาะพืช แต่เดี๋ยวนี้ค่อนข้างโชคดี ผู้ผลิตอาหารปลาหลายรายเริ่มจำแนกชนิดอาหารได้ละเอียดอ่อน เฉพาะเจาะจงยิ่งขึ้น ผมเห็นอาหารเม็ดสำหรับปลาอะโรวาน่า ซึ่งเป็นปลากินเนื้อร้อยเปอร์เซ็นต์มาวางขาย เห็นอาหารแผ่นสำหรับปลากินพืช เห็นอาหารชนิดจมสำหรับกลุ่มปลาแพะ เห็นอาหารป่นเป็นเกล็ดเล็กๆ สำหรับปลาหางนกยูง ฯลฯ เรียกได้ว่าตอนนี้มีอาหารทุกรูปแบบรอคอยอยู่แล้วในร้านขายปลา ขอเพียงผู้เลี้ยงทำหน้าที่เลือกสรรสิ่งที่เหมาะสมที่สุดให้กับปลาตัวน้อยของตนเท่านั้นเป็นพอ 2. กำหนดปริมาณอาหารในแต่ละมื้อให้พอเพียง ไม่มากเกินไปและไม่น้อยเกินไป พูดได้คร่าวๆ ว่า ปริมาณที่เหมาะสมจะอยู่ที่ปลากินหมดภายใน 2-3 นาที นักเลี้ยงมือใหม่มักไม่เข้าใจ และขอให้ระบุจำนวนไปเลยว่า กี่เม็ดต่อตัว มันพูดยากนะครับแบบนี้ เพราะปลามันคงไม่ฉลาดพอที่จะเอาอาหารไปนั่งแบ่งสันปันส่วนกันเองหรอกว่า เฮ้ย! เจ้านายท่านให้งบประมาณมาตัวละสิบเม็ดนะเว้ย นี่ส่วนของข้า โน่นของเอ็ง ห้ามขี้โกง อะไรทำนองนี้ ดีที่สุดคือกำหนดด้วยระยะเวลา และควรมีการยืดหยุ่นด้วยตามลักษณะนิสัยของสายพันธุ์ เช่น ถ้าเป็นปลาที่กินอาหารมูมมามอย่างปลาคาร์พ ปลาตะเพียน ปริมาณอาหารเท่ากับที่ปลาชนิดอื่นกินหมด 2-3 นาที เจ้าพวกนี้อาจใช้เวลาเพียง 30 วินาที เสร็จแล้วจะรีบโผขึ้นมาสลอนเพื่อขอกินอีก แต่อย่าไปหลงกลมันครับ เจ้าพวกนี้ชอบฮุบอาหารอมไว้ในกระพุ้งแก้มทีละหลายๆ เม็ด แล้วค่อยทยอยเอาเข้าท้องภายหลัง ในขณะเดียวกันปลาแพะ ปลาซัคเกอร์ ซึ่งกินอาหารเชื่องช้า แต่กินได้เรื่อยๆ ตลอดทั้งวัน เราจึงต้องเผื่อเวลาให้นานสักหน่อย กว่าปลาจะกินหมด อาจใช้เวลา 10-15 นาที จะรู้ว่าอิ่มหรือยังก็พิจารณาเทียบเคียงเอากับขนาดตัวกับปริมาณอาหารที่ให้ไม่ค่อยแตกต่างจากปลาอื่นนักหรอก 3. ให้น้อยๆ แต่ให้บ่อย ดีกว่าให้มากๆ เพียงมื้อเดียวบาง คนไม่ค่อยมีเวลา การให้อาหารปลามักทำในตอนเช้าก่อนออกจากบ้าน ให้ทีเดียวลอยเกลื่อนเต็มผิวน้ำ กะเหลือให้ปลาขึ้นมากินในตอนเที่ยงกับตอนเย็นด้วย ในความเป็นจริงปลามันไม่สนใจเรื่องของการเก็บงำเผื่อไว้ในวันข้างหน้าเหมือนคนหรอกครับ ให้เท่าไหร่ก็ยัดทะนานให้เต็มท้อง ยัดแล้วยัดอีก พอแน่นเข้าก็สำรอกออกมาจนน้ำขุ่นคุณภาพของน้ำเสื่อมเร็ว แถมสุขภาพของปลาก็จะค่อยๆ แย่ลง จนป่วยตายในเวลาต่อมา ดีที่สุดคือ การให้ครั้งละน้อยๆ แต่บ่อยมื้อ ถ้าไม่สะดวก ก็เหลือ 2 มื้อ เช้า เย็น ก็ได้ ปริมาณของอาหารก็ตาม ข้อ 2 4. ในหนึ่งสัปดาห์ควรงดอาหารปลาหนึ่งวันอาจเลือกเอาวันอาทิตย์หรือวันไหนก็ได้ครับ แต่ให้แน่นอนตายตัว ปลาที่อดอาหารหนึ่งวันต่อหนึ่งสัปดาห์จะมีสุขภาพแข็งแรงกว่าปลาที่กินทุกวัน อันนี้พิสูจน์มาแล้ว

วันศุกร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2553

เทคนิคการให้อาหารปลา 1


พิชิต ไทยยืนวงษ์
Cichlidbox@hotmail.com

เมื่อสักสิบปีก่อน ผมเคยเล่นเกมทามากอตจิ เป็นเกมเลี้ยงสัตว์ในรูปแบบคล้ายเกมกด วิธีการเล่นคือมันจะมีไข่ให้เราหนึ่งฟอง พอเริ่มฟักก็เป็นว่าเริ่มต้นเกม ต้องคอยกดปุ่มให้อาหารตามความเหมาะสม ต้องเล่นกับมัน ต้องทำบ้าทำบออะไรก็ไม่รู้หลายอย่าง เกมนี้มีขนาดเล็กพอๆ กับนาฬิกาข้อมือ พกใส่กระเป๋ากางเกงได้ เวลาเจ้าลูกสัตว์ประหลาดหิวมันจะส่งเสียงร้องเตือน เราต้องรีบเอามากดปุ่มให้อาหารจนอิ่ม การเลี้ยงโดยเอาใจใส่ดีพอจะทำให้สัตว์นี้เติบโตมาน่ารักอ้วนพี แต่ถ้าเลี้ยงไม่ได้เรื่อง ประมาณว่าเอาใจมากเกินไป หรือปล่อยให้อดอยากมากเกินไป มันก็จะกลายไปเป็นสัตว์หน้าตาพิลึกพิลั่นดูน่าร้ายกาจ หรือไม่ก็ตายเพราะความหิวโหยเกมนี้เขาว่าจะช่วยฝึกความรับผิดชอบให้ เด็กๆ โดยเฉพาะเด็กในประเทศญี่ปุ่น ก่อนที่จะหันไปเริ่มเลี้ยงสัตว์จริงๆ ซึ่งมีรายละเอียดความวุ่นวายมากมายซับซ้อนกว่า เด็กคนไหนเล่นทามากอตจิได้ดี ไข่ประหลาดโตมากลายเป็นสัตว์น่ารัก ก็พอจะประเมินได้ว่ามีความรับผิดชอบและใจรักอยู่ ถ้าให้ไปเลี้ยงสัตว์จริงๆ ก็น่าจะไปรอด เขาว่าของเขาอย่างนั้นครับ ผมก็เลยไปซื้อมาเล่นกับเขาเครื่องหนึ่ง เริ่มต้นก็ตั้งอกตั้งใจดี แต่พอหลังๆ ชักขี้เกียจ ปล่อยปละละเลย เพราะไม่เห็นจะได้ฟิวเลี้ยงสัตว์ซักกะติ๊ด สุดท้ายเจ้าไข่นั้นก็กลายเป็นตัวประหลาดเกเรโคตรๆ นี่มันยังไงกันหว่าเอ้า! เริ่มเข้าเรื่องกันเสียทีการ ให้อาหารปลา พูดแบบนี้หลายท่านคงส่ายหน้าดิกบอกว่า มันจะไปยากอาไร้ ก็แค่แกะซองหยิบสาดเข้าไปในตู้เท่านั้น ปลาก็ขึ้นมาสวาปามทุกครั้งไม่เคยขาด แล้วยังจะมีอะไรให้มากความกว่านี้อีกรึ?คำตอบคือ มีขอรับ ปลาเป็นสัตว์เลี้ยงอย่างหนึ่งที่ต้องใส่ใจอย่างมากในเรื่องของอาหารไม่น้อย อย่างที่กล่าวไปแล้วเมื่อบทก่อน และนอกเหนือจากโภชนาการที่ดีที่เหมาะสมแล้ว ยังจะต้องมีวิธีการให้ให้ถูกต้องอีกด้วย เพราะปลานั้นไม่เหมือนคน คนกินข้าววันละ 3 มื้อ กินทุกอย่าง ทุกฤดูกาล ไม่ปรากฏว่าช่วงหน้าหนาวคนจำศีล งดกินอาหาร หรือวันนี้กินเสียอิ่มแปล้พุงกางแล้ว พรุ่งนี้งดอาหารหนึ่งวันเต็มๆ ไม่มีครับแต่ปลามี เพราะปลาเป็นสัตว์น้ำที่มีธรรมชาติตามแบบฉบับของมัน แตกต่างจากสัตว์บก โดยเฉพาะคน ในธรรมชาติ ปลาบางชนิดต้องกินอาหารตลอดเวลา เช่น พวกปลากินแพลงตอน ซึ่งไหลมากับกระแสน้ำ ปลาบางชนิดจับสัตว์ขนาดพอสมควรกิน แล้วจากนั้นอีกวันสองวันค่อยล่าเหยื่อใหม่ ไม่ได้กินทุกวัน บางคนเอามาเลี้ยงแล้วประเคนอาหารให้ทุกวัน แถมยังมีของหวานเป็นกุ้งฝอยบ้าง หนอนนกบ้าง เติมให้ทุกครั้งเวลาแวะเข้ามาดู อย่างนี้ปลาจะอ้วนมาก อ้วนเกินไป ในร่างกายมีแต่ความอ่อนแอปวกเปียก และแทนที่จะมีอายุยืนยาวตามสายพันธุ์ของมัน ก็อาจเหลือเพียงครึ่งเดียว หรือน้อยกว่านั้นมากการให้อาหารปลาแบบถูกวิธีจึงต้องควบคู่มากับพื้นฐานความรู้เกี่ยวกับสายพันธุ์ปลานั้นๆ เสียก่อน ตามที่ได้กล่าวไปแล้วเมื่อสองสามตอนก่อนหน้านี้ แต่สำหรับคราวนี้ ผมอยากจะพูดถึงสูตรสำเร็จในการให้อาหารปลาสำหรับท่านที่เลี้ยงปลาโดยทั่วๆ ไป ดังต่อไปนี้ครับ

เกี่ยวกับผู้เขียนบทความ พิชิต ไทยยืนวงษ์






นามปากกา อันโตนิโอ
ชื่อจริง พิชิต ไทยยืนวงษ์
เกิด 27 พ.ค. 2514 ณ ริมฝั่งคลองตลาดบางวัว อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา
การศึกษา ปริญญาตรี สถาบันราชภัฏสวนสุนันทา คณะมนุษย์ศาสตร์ ภาควิชาดนตรี เอกดนตรีสากล

E-mail cichlidbox@hotmail.com
งานเขียนที่ไม่ใช่นิยาย มหัศจรรย์พันธุ์ปลาหมอสี สนพ. PetMag ปี 2543
โลกของปลาหมอสี สนพ.มติชน ปี 2548
งานเขียนที่เป็นนิยาย ซากุระในสายลมร้อน สนพ. Anit Publishing ปี 2548
ดอกไม้...ดอกไม้จะบาน สนพ. ปริ๊นเซส ปี 2548
Serenade… สนพ. ศรีสยาม ปี 2551
งานเขียนที่เป็นบทความ คอลัมน์ปลาสวยงาม นิตยสารเทคโนโลยีชาวบ้าน เครือมติชน เขียนมา 6-7 ปีแล้ว
งานเขียนอื่น ๆ มีเรื่องสั้นบ้างเล็กน้อย พิมพ์รวมกับนักเขียนอื่นในหนังสือชื่อ “ด้วยรักและน้ำตา”
และ “ด้วยรักและรอยยิ้ม” สนพ. Girl Friend
ปัจจุบัน เขียนบทความลงนิตยสารเทคโนโลยีชาวบ้าน สอนกีตาร์คลาสสิกและเขียนนิยาย

ประวัติการทำงาน
อดีตประธานชมรมปลาหมอสีแห่งประเทศไทย
กรรมการตัดสินปลาสวยงามระดับชาติ เช่นงานประมงน้อมเกล้า , งานปลาสวยงามแห่งชาติ เป็นต้น

วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2553

มาสังเกตุอาการป่วยของปลากัน


พิชิต ไทยยืนวงษ์
cichlidbox@hotmail.com


สังเกตอาการปลาป่วยและสิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับแรก

คนเลี้ยงปลาร้อยทั้งร้อยต้องเคยเจอกับอาการป่วยไข้ของปลาที่ตนเลี้ยง โดยเฉพาะมือใหม่ที่เริ่มจากศูนย์คือไม่ได้ศึกษาเรียนรู้ในเรื่องการเลี้ยงปลามาก่อนเลย ปลาก็เป็นเช่นสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นคือมีเกิดแก่เจ็บตาย แต่ละสายพันธุ์แต่ละชนิดก็จะมีช่วงเวลาดังกล่าวสั้นยาวต่างกันไปตามธรรมชาติกำหนดมา เช่นปลาเล็กก็มักเกิดง่ายตายเร็ว วงจรชีวิตสั้นมาก ในขณะที่ปลาใหญ่นั้นอายุยืนยาวกว่า การเลี้ยงดูอย่างถูกต้องจะทำให้มันมีสุขภาพดีและมีอายุยืนยาวใกล้เคียงกับสภาพเป็นจริง
การเลี้ยงปลาที่ดีต้องควบคู่ไปกับการสังเกตสุขภาพปลาอย่างละเอียดถี่ถ้วน ถือได้ว่าเป็นภาระหน้าที่ที่ต้องทำทุกวันทีเดียว นักเลี้ยงมือเก๋าบางท่านอาจเถียงว่าเขาไม่เคยต้องมานั่งทำอะไรทำนองนี้ก็เห็นพวกปลาอยู่ได้อย่างสำเริงสำราญ ไม่เห็นมันจะมีปัญหาอะไรสักที ครับ นี่ไม่ใช่เรื่องขี้คุย แต่ต้องขอบอกว่ามันเป็นเรื่องของการกระทำจนเกิดเป็นความเคยชินจนดูเหมือนไม่ได้ทำมากกว่า นักเลี้ยงที่มีประสบการณ์มีสายตาค่อนข้างแหลมคม การมองผ่านตู้ปลาเพียงแวบเดียวก็เพียงพอที่จะตรวจสอบสภาพโดยรวมภายในตู้เลี้ยงได้อย่างชนิดที่นักเลี้ยงมือใหม่ต้องเพ่งกันเป็นวัน ๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะสิบเท้ายังรู้พลาดนักปราชญ์ยังรู้พลั้ง เซียนบางคนก็อาจต้องน้ำตาเช็ดหัวเข่าด้วยว่าปลาสุดที่รักต้องมาตายจากไปเพราะความประมาทของตัวเองก็ออกบ่อย
ฉบับนี้เรามารู้จักวิธีสังเกตอาการปลาป่วยและวิธีปฐมพยาบาลกันสักหน่อยกันดีกว่า เพราะถึงยังไงต้องได้ใช้แน่นอนสำหรับทุก ๆ ท่านที่มีใจรักทางการเลี้ยงปลาสวยงาม ก่อนอื่นผมขอแยกลักษณะปลาแข็งแรงกับปลาที่ดูเหมือนจะมีอาการป่วยให้ท่านเห็นชัด ๆ กันเสียก่อน ดังนี้ครับ
ลักษณะของปลาแข็งแรง
1 ลักษณะลำตัวแข็งแรง มีกล้ามเนื้อขึ้นเต็ม ท้องไม่แฟบบาง ครีบทุกครีบกางตั้ง ใบครีบใสไม่ขุ่นหรือฉีกแหว่ง ขาด ลุ่ย
2 ตาใส กลม ไม่ขุ่น กระจกตาไม่โปนออกนอกเบ้า
3 หากเป็นปลามีเกล็ด เกล็ดต้องมีความเงางาม ซ้อนกันเรียบสนิทเรียงกันเป็นแถวสวยงาม หากเป็นปลาไม่มีเกล็ดหรือปลาหนัง ผิวหนังต้องแน่น เรียบตึง
4 สีสันลวดลายขึ้นสวยงามตามสมควร ไม่จำเป็นต้องสดเข้ม แต่ต้องไม่ซีดจางหรือเลอะเลือน
5 การว่ายน้ำต้องมีทิศทาง มีความกระตือรือร้น มีประสาทสัมผัสว่องไว
6 การหายใจต้องไม่หอบถี่จนเกินไป สังเกตจากอาการเปิดปิดของฝาปิดเหงือกข้างแก้ม แผ่นเนื้อเยื่ออ่อน ๆ จะกระพือเปิดปิดอย่างเป็นจังหวะจะโคน

ส่วนลักษณะของปลาที่เริ่มมีอาการไม่ปรกติ มักมีดังนี้
1 หากเป็นทางด้านกายภาพอาจมีอาการผ่ายผอม ท้องยุบสันหลังแฟบแบน ครีบลู่หรือกางสลับลู่ อาจฉีกแหว่งหรือกร่อน หรือมีลักษณะของการตกเลือด ท้องบวมโตบริเวณที่เป็นกระเพาะอาหารหรือถุงลม
2 ตาขุ่น กระจกตาโปน เลนส์ตาที่ควรจะดำมันกลับกลายเป็นฝ้า
3 เกล็ดขาดความเงางาม ด้าน มีจุดกระสีดำขึ้นกระจาย มีจุดขาวขึ้นกระจาย ผิวหนังถูกปกคลุมด้วยเมือกขาวขุ่นดูคล้าย ๆ ปลาส้มที่ใช้ทำอาหาร มีจุดหรือจ้ำสีแดงอันเกิดจากพยาธิภายนอก
4 สีสันลวดลายซีดหายเลอะเลือน จากแต่เดิมที่เคยขึ้นชัดสดคม
5 การว่ายน้ำเป็นไปในแบบไร้ทิศทาง หรือพยายามว่ายไปหลบซุกตามมุมตู้หรือนอนนิ่งอยู่กับที่เป็นเวลานาน ๆ ประสาทสัมผัสขาดความว่องไว หรือเกิดอาการตื่นตัวรุนแรงผิดปรกติ ปลาที่มีพยาธิภายนอกจะว่ายกระสับกระส่ายคอยเอาตัวไถลตามพื้นตู้หรือสันก้อนหินขอนไม้อยู่ถี่ ๆ เพื่อกำจัดพยาธิออกจากผิวหนัง ปลาที่มีปัญญาการติดเชื้อภายในระบบทางเดินอาหารจะว่ายหัวทิ่มหรือหงายท้อง
6 การหายใจผิดปรกติ ฝาปิดเหงือกทำงานหนัก กระพือเร็ว บางทีจะมีการหยุดชะงักเป็นพัก ๆ เหมือนเกิดอาการช็อค







อาการผิดปรกติดังที่ได้กล่าวมาแล้วนั้นฟันธงได้เลยว่าปลาเป็นโรคแน่ เพียงแต่จะเป็นโรคอะไรอย่างไรก็คงต้องว่ากันต่อไปในภายหลัง ก่อนอื่นสิ่งที่ท่านต้องทำคือนำปลาป่วยออกมาทำการปฐมพยาบาลเสียก่อน จะต้องยึดหลักว่ายิ่งรู้เร็ว แยกเร็ว รักษาเร็ว ปลาก็จะมีเปอร์เซ็นต์การรอดสูง หากชะล่าใจปล่อยเวลาให้เนิ่นไปอีกบางทีแค่ชั่วโมงสองชั่วโมงปลาก็อยู่รอให้เรารักษาไม่ไหวเสียแล้วครับ
ขั้นแรกสุดเลยคือเราต้องมีสถานที่ นั่นก็คือภาชนะสำหรับแยกปลาป่วยมารักษาโดยเฉพาะ ถ้าเป็นปลาขนาดเล็กถึงขนาดกลางก็นิยมใช้ตู้กระจกที่มีความจุน้ำอย่างต่ำสักห้าสิบลิตร ถ้าเป็นปลาใหญ่ ๆ ก็อาจใช้ตู้ขนาดร้อยห้าสิบลิตรขึ้นไปหรือไม่ก็บ่อปลา อาจเป็นบ่อพลาสติกหรือบ่อปูนก็ตามแต่สะดวก
การวางตู้หรือบ่อพยาบาลควรวางในบริเวณที่มีแสงส่องสว่างเพียงพอ เพราะเราต้องคอยสังเกตอาการปลาอย่างใกล้ชิดด้วย ที่สำคัญบริเวณนั้นต้องไม่อยู่ในจุดที่ทำให้อุณหภูมิเปลี่ยนแปลงมากนัก จะให้ดีก็หาฮีทเตอร์มาใช้ควบคุมอุณหภูมิอีกสักตัวก็ไม่เลว
ทำความสะอาดภาชนะก่อนเสียหนึ่งรอบด้วยน้ำเกลือเข้มข้น หรือหากใช้ด่างทับทิมก็ใช้เพียงเจือจางและล้างออกหลาย ๆ ครั้ง
เตรียมน้ำใส่ภาชนะ ต้องเป็นน้ำปราศจากคลอรีน มีอุณหภูมิเท่ากันกับตู้เลี้ยงที่กำลังจะแยกปลาป่วยออกมา
จัดหาวัสดุหลบซ่อนเพื่อป้องกันไม่ให้ปลาเกิดอาการเครียด เช่นขอนไม้ ต้นไม้หรือก้อนหิน แต่อย่าวางให้รกจนเกิดไปนัก การจัดวางควรจัดบริเวณกลางไปจนถึงหลังตู้ ไม่ควรปูกรวดหรือทรายที่พื้นตู้ เพราะจะเป็นที่สะสมฟักตัวของเชื้อโรคและพยาธิหลายชนิด
ติดตั้งกรองขนาดเล็กเพื่อช่วยให้น้ำสะอาด ไหลเวียนดีและมีปริมาณออกซิเจนเพียงพอ
ขั้นต่อไปก็ค่อย ๆ จับปลาป่วยออกมาจากตู้ การจับต้องไม่ใช้กระชอนไล่ควานอย่างบ้าคลั่งเพราะจะทำให้ปลาช็อคตายเสียก่อน ควรค่อย ๆ ทำอย่างละมุนละม่อม โดยใช้กระชอนสองอันที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวปลาหลาย ๆ เท่า ค่อย ๆ ไล่ต้อนจนเข้ามุมแล้วจึงช้อนออกมาใส่ถุงพลาสติกหรือกาละมัง
นำถุงพลาสติกหรือกาละมังไปลอยไว้ในน้ำของตู้พยาบาลเพื่อปรับอุณหภูมิให้เท่ากันดีเสียก่อน ใช้เวลาอย่างน้อย 20 นาที จากนั้นค่อยเอากระชอนช้อนเฉพาะตัวปลาลงตู้พยาบาลอีกที อย่าเทน้ำที่ได้จากตู้เดิมลงไปด้วย
ถึงตอนนี้ปลาก็พร้อมสำหรับการวินิจฉัยและรักษาให้หายขาดต่อไปแล้วละครับ
อ้อ แล้วควรจะทำอย่างไรกับตู้เลี้ยงเดิมที่ยังมีปลาที่ไม่ป่วยอยู่?
ง่ายที่สุดก็เปลี่ยนถ่ายน้ำ 20-25% และสังเกตอาการของปลาต่อไปอีกสักระยะเพื่อหาดูว่าใครมีอาการผิดปรกติเพิ่มเติมอีกหรือไม่ หากมีก็จะได้เอามารักษาได้ทันท่วงทีครับ จำไว้ว่าเมื่อปลาป่วย อย่าเพิ่งใส่ยาจนกว่าจะวินิจฉัยอาการของโรคและเตรียมภาชนะสำหรับรักษาให้เสร็จเรียบร้อยเสียก่อน

วันอังคารที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2553

มือใหม่หัดเลี้ยงปลา ตอน 2


พิชิต ไทยยืนวงษ์
cichlidbox@hotmail.com

ตอนที่แล้วเล่าถึงสาเหตุหลัก ๆ ที่มักทำให้ปลาตาย ซึ่งก็ได้แก่ 1. ใช้น้ำประปาโดยไม่ผ่านการพักหรือเครื่องกรองคลอรีน
2. เปลี่ยนถ่ายน้ำในตู้ชนิดหมดร้อยเปอร์เซ็นต์ หรือมากเกินไป 3. ไม่ตรวจสอบอุณหภูมิของน้ำใหม่ว่าแตกต่างจากน้ำในตู้เลี้ยงเดิมหรือไม่ 4. การใช้ยาโดยขาดความเข้าใจ
ยังมีอีกประการหนึ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ ว่ามันสามารถสร้างปัญหาให้กับปลาได้มากมายมหาศาลเช่นกัน นั่นก็คือ “ความเครียด”
ความเครียดไม่ได้มีเฉพาะกับคน แต่เกิดขึ้นกับสิ่งมีชีวิตทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นพืชหรือสัตว์ กระทั่งแมลงตัวเล็กตัวน้อยก็สามารถเกิดความเครียดได้โดยไม่ต้องอ่านข่าวการเมืองหรือเศรษฐกิจแต่ประการใด หลายคนพอได้ยินว่าปลาเครียดได้ก็หัวเราะ คิดว่าคนพูดเสียสติไปแล้ว ทว่าความจริงปลาเครียดได้ไม่แพ้คน แถมยังอาจมากกว่าด้วยซ้ำในกรณีปลาสวยงามที่ถูกเลี้ยงโดยคนไม่มีความรู้พื้นฐานเอาเลย
ความเครียดจะส่งผลกับปลาโดยตรงเช่น ไม่กินอาหาร หลบซ่อนอยู่ตลอดเวลา สีซีดจางหรือบางตัวก็ดำคล้ำ หุบครีบหรือครีบลู่ไม่กางโบกไปมาเหมือนยามปรกติ หายใจหอบ เหงือกทำงานหนัก บางชนิดแสดงออกถึงความก้าวร้าวดุร้ายผิดปรกติ ปลาที่เครียดมาก ๆ จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันลดน้อยถอยลง ส่งผลให้เกิดการติดเชื้อต่าง ๆ หรือเป็นโรคได้ง่าย เช่นโรคจุดขาว โรคตกเลือด โรคผิวหนังเปื่อย เป็นต้น
ปลาเกิดความเครียดได้อย่างไร
สาเหตุมีมากมายครับ แต่สรุปได้คำเดียวสั้น ๆ ว่าเกิดจาก “การเลี้ยงที่ผิดวิธี” ถึงจะใช้น้ำสะอาดปราศจากคลอรีน ถึงจะเทียบอุณหภูมิของน้ำใหม่ให้เท่าน้ำเก่าก่อนทำการเปลี่ยนถ่าย ถึงจะเรียนรูถึงวิธีการรักษาโรคปลาแต่ละชนิดจนจำได้ขึ้นสมอง แต่ปลาก็ยังเครียดจนถึงตายได้อยู่ดี นั่นเพราะไม่พยายามเข้าใจถึงธรรมชาติของปลาที่เราเลี้ยงให้มากเพียงพอ
ธรรมชาติของปลาแต่ละชนิดแตกต่างกัน ปลาเล็กจิ๋วอย่างปลานีออน ปลาคาร์ดินัล จะชอบอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ บริเวณที่มันอยู่จะอุดมด้วยพืชน้ำ ซากไม้ที่มีกิ่งก้านเพื่อใช้เป็นที่กำบังปกป้องอันตรายจากสัตว์ผู้ล่าที่มีขนาดใหญ่กว่า หากเลี้ยงปลากลุ่มนี้ในตู้โล่ง ไม่พยายามประดับตกแต่งอะไรที่เลียนแบบธรรมชาติของมันแถมยังเลี้ยงแค่ไม่กี่ตัวรวมกับปลาสายพันธุ์อื่น อย่างนี้ปลามักอยู่ไม่ทนเพราะเกิดความเครียด เมื่อเครียดแล้วจะส่งผลร้ายต่อสภาพร่างกายอย่างรวดเร็วถึงขั้นตายได้ในไม่กี่ชั่วโมงทีเดียว
หรือปลาที่เลี้ยงง่ายแสนง่ายอย่างปลาทอง ธรรมชาติของปลาทองเป็นปลาอุ้ยอ้ายว่ายน้ำช้าและซุ่มซ่ามเป็นที่สุดเนื่องจากถูกบรีดมาให้อ้วนปุ๊กลุก ปลาทองบางสายพันธุ์ยังมีวุ้นขึ้นปิดหน้าปิดตามองอะไรไม่เห็น ใช้ได้แต่เส้นประสาทสัมผัสข้างลำตัวและจมูกดมกลิ่นหาอาหารเท่านั้น ฉะนั้นการเลี้ยงปลาทองจึงต้องเลี้ยงในภาชนะกว้างโล่ง ไม่พยายามยัดเยียดของตกแต่งประดับประดาเข้าไปให้เกะกะขวางทางจราจร โดยเฉพาะวัสดุประเภทขอนไม้ที่มีกิ่งก้านหรือก้อนหินที่มีความแหลมคม ตู้ปลาที่มีของเหล่านี้จะทำให้ปลาทองเกิดความเครียดเพราะว่ายไปก็ชนไป ชนแรงเข้าหน่อยก็เกิดบาดแผล ความเครียดลดระบบอิมมูนหรือภูมิคุ้นกัน เชื้อโรคจึงจู่โจมได้ง่าย การเลี้ยงปลาอื่นร่วมกับปลาทองก็เช่นกัน หากขาดความรู้เกี่ยวกับสายพันธุ์ปลาก็จะส่งผลร้ายได้อย่างมากทีเดียวเช่นการใส่ปลาดูดตะไคร่ลงไปอยู่ในตู้เดียวกัน แทนที่ปลาดูดตะไคร่จะไปทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากเราคือกำจัดตะไคร่ตามกระจก พวกก็ดันผ่าไปโจมตีปลาทอง เนื่องจากปลาทองเป็นปลาเมือกเยอะ เรียกว่ากลิ่นตัวแรงหอมยั่วใจ ปลานักดูดทั้งหลายเห็นว่าน่าจะเอร็ดอร่อยกว่าตะไคร่ก็จะไล่ดูดปลาทองของเราอย่างไม่ลดละ ส่งผลให้ปลาทองเครียดจัดร่างกายอ่อนแอ ผิวถลอกปอกเปิดติดเชื้อแบคทีเรียวุ่นวาย นักเลี้ยงมือใหม่บางคนวิ่งไปถามร้านขายปลา (ซึ่งอาจมือใหม่ด้วยเช่นกัน) ร้านขายปลาแทนที่จะถามไถ่ข้อมูลพื้นฐานเช่นว่าเลี้ยงอย่างไร เลี้ยงร่วมกับปลาอะไร ก็ไม่ถาม กลับเสนอยาทันที (เพราะได้สตางค์) นักเลี้ยงมือใหม่ได้ยามาก็อ่านฉลาก เห็นว่าตรงกับอาการของปลาก็ประเคนใส่เข้าไปละลายน้ำ ทว่าเวลาผ่านไป ๆ อาการปลาก็ไม่เห็นจะดีขึ้น ซ้ำยิ่งทรุดหนักกว่าเดิมเสียอีก นั่นก็เพราะมองไม่เห็นต้นเหตุของปัญหา คือการเลี้ยงตัวป่วนปลานักดูดร่วมกับปลาทองนั่นเอง
ความเครียดของปลายังเกิดได้จากกรณีอื่นอีกครับ
เช่นการเปิดปิดไฟในตู้แบบตามใจฉัน การย้ายปลาจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งโดยไม่ปรับอุณหภูมิ การตั้งตู้ปลาไว้ในสถานที่พลุกพล่านหรือหันเข้าหาแสงสว่างมากเกินไป การเล่นกับปลาแบบคิดไปเองว่าปลาต้องชอบแน่เช่นเอามือไปจับต้องตัวมัน ฯลฯ
ต้องคิดเสียก่อนนะครับ ว่าปลาไม่ได้เป็นเหมือนคน การเปิดปิดไฟสำหรับปลาควรกำหนดเวลาให้แน่นอนในแต่ละวัน เช่นเปิดไฟตอนห้าโมงเย็นและปิดตอนสี่ทุ่ม ก็ควรให้ได้เวลานี้ตลอด อย่าเปิด ๆ ปิด ๆ เพราะปลาจะเกิดความสับสนและเครียด เพราะปลาโดยส่วนใหญ่หากินเมื่อพระอาทิตย์ขึ้น พอตกมืดก็พากันพักผ่อน และปลาบางส่วนอาจหาที่ซุกซ่อนในเวลากลางวัน พอกลางคืนค่อยโผล่ออกมาหากิน นักเลี้ยงมือใหม่บางคนหวังดีจัด เปิดไฟในตู้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเพราะคิดว่าปลาน่าจะชอบ ทว่าผลกลับตรงกันข้ามครับ นอกจากไม่ชอบแล้วยังทำให้ร่างกายของมันค่อย ๆ อ่อนแอลงไปจนป่วยไข้ตายในที่สุดเพราะไม่มีช่วงเวลาพักผ่อนเป็นเรื่องเป็นราวนั่นเอง
การย้ายปลาจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งก็จำเป็นต้องเช็คอุณหภูมิเสียก่อน เพราะแม้ว่าอยู่ภายในบ้านเดียวกันแต่ปริมาณการรับความร้อนหรือการถ่ายเทความร้อนย่อมแตกต่างกันแน่นอน เช่นตู้ปลาในบ้านย่อมมีอุณหภูมิต่ำกว่าตู้ที่ตั้งอยู่บริเวณระเบียงที่พื้นหรือผนังคอยคายความร้อนของไอแดดออกมา หรือบ่อปลาที่ตั้งในร่มย่อมมีอุณหภูมิต่ำกว่าบ่อปลาที่ตั้งกลางแจ้ง เป็นต้น การปรับอุณหภูมิก็ทำไม่ยาก แค่เอาถุงที่บรรจุปลาจากที่หนึ่งมาแช่ลอยน้ำไว้ก่อนสัก 20 นาที จากนั้นค่อยเปิดปากถุง กดปากถุงลงน้ำ แล้วปล่อยให้ปลาว่ายออกมาเอง
สถานที่วางตู้ปลาก็เป็นเรื่องไม่ควรมองข้าม ปลาจะเครียดจัดถ้ามีแสงสว่างสาดเข้ามาหามันตลอดเวลาเช่นตั้งตู้หันหน้าออกหน้าต่างที่แสงแดดส่องถึง แทนที่ปลาจะว่ายไปมาตามอย่างที่ควรก็กลับหาที่ซุกหรือเกิดอาการตื่นกลัวอยู่ตลอด จุดวางตู้ที่ดีควรอยู่ในตำแหน่งอากาศถ่ายเทแต่ไม่โดนแสงแดดหรือแสงไฟอื่นสาดส่อง ยกเว้นแสงจากฝาตู้ซึ่งมาจากด้านบน เรื่องของความอึกทึกครึกโครมก็เช่นกัน บางบ้านพื้นเป็นไม้ เวลาเดินผ่านตู้ปลาเกิดการสะเทือนรุนแรงปลาก็จะเครียดและตื่นกลัวง่าย ควรเปลี่ยนไปตั้งวางบริเวณที่สงบกว่า
การเล่นกับปลาโดยเอามือไปไล่จับมันก็เป็นการกลั่นแกล้งปลาโดยที่เราเองไม่ได้ตั้งใจ จริงอยู่ว่าปลาบางชนิดสามารถเล่นได้เพราะเชื่องคนง่าย แต่โดยส่วนใหญ่ปลาไม่ได้ชอบแบบนั้นเลย ปลามีโลกส่วนตัว มีวิถีปฏิบัติในแบบของมันที่ไม่ได้ต้องการให้เราเข้าไปยุ่งเกี่ยวยกเว้นการให้อาหาร ปลาที่เลี้ยงจนเชื่องจะว่ายเข้ามาหาคนก็เพราะต้องการอาหาร ไม่ใช่เพราะดีใจที่ได้เจอหน้ากันอย่างที่หลายคนเข้าใจ ปลาบางชนิดถึงแม้เจ้าของสามารถจะลูบตัวมันเล่นได้อย่างเช่นอะโรวาน่า แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังขี้ระแวง และอาจเกิดการผิดพลาดขึ้นได้จากความตกใจโดยพุ่งตัวรุนแรงกระแทกตู้ ซึ่งอันตรายมาก ทางที่ดีไม่ควรสร้างปฏิสัมพันธ์กับปลาที่เลี้ยงมากเกินไปกว่าจ้องมองจากภายนอก และให้อาหารตามความเหมาะสมครับ

วันจันทร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2553

มือใหม่หัดเลี้ยงปลา ตอนที่1










พิชิต ไทยยืนวงษ์
cichlidbox@hotmail.com
ปัญหาที่นักเลี้ยงปลามือใหม่เจอกันประจำคือปลาตายโดยไม่รู้สาเหตุ หลายคนยืนยันว่าปลาที่ซื้อจากร้านทีแรกก็สุขภาพดี ว่ายน้ำคล่องแคล่วสีสันก็โอเค แต่พอเอากลับไปเลี้ยงได้แค่วันสองวันก็พากันทยอยตาย ตื่นเช้ามามีอันต้องเก็บศพในตู้ก่อนเป็นอันดับแรก พอตายก็ต้องถ่ายน้ำล้างตู้ เสร็จสรรพได้อีกวันพวกก็ตายอีก แถมน้ำก็ไม่เห็นใสเหมือนที่ร้าน มันยังไงของมันก็ไม่รู้
สาเหตุใหญ่ ๆ ที่ทำให้ปลาตาย นับ ๆ ดูแล้วมีไม่กี่อย่าง ดังนี้ครับ

1 ใช้น้ำประปา
น้ำประปาเป็นน้ำสะอาด สำหรับคนยังสามารถดื่มได้ด้วยซ้ำถ้าไม่กลัวสนิมที่ค้างในท่อ แต่ต้องไม่ลืมว่ามันถูกฆ่าเชื้อโรคมาด้วยสารคลอรีน ซึ่งเป็นพิษต่อสัตว์น้ำโดยเฉพาะปลาสวยงามอย่างยิ่ง นักเลี้ยงปลามือใหม่มักไม่ทราบเรื่องนี้ (หรือทราบแต่ไม่สนก็ไม่รู้แฮะ) จัดตู้เสร็จสรรพเรียบร้อยก็ต่อสายยางจากก๊อก เปิดน้ำประปาสด ๆ เติมลงตู้ไม่รอช้า พอน้ำเต็มก็แกะถุงปล่อยปลา ปลาบางชนิดโดยเฉพาะบรรดาปลาเล็ก ๆ อย่างปลานีออน ปลาคาร์ดินัลเตตร้า โดนน้ำที่มีคลอรีนเจือจางแม้แต่นิดเดียวก็ลาโลกได้ฉับพลันทันที แต่ปลาใหญ่อย่างปลาทอง ปลาคาร์พ อาจใช้เวลานานกว่านั้น ขั้นแรกมันอาจหายใจหอบ ว่ายทุรนทุราย คนเลี้ยงก็เข้าใจว่าเป็นธรรมชาติของปลาที่เพิ่งลงตู้ใหม่ ๆ ผ่านไปสักวันเดียวก็ออกอาการตรีทูต ตัวเปื่อยครีบลู่ตาเป็นฝ้า ขึ้นมาลอยหัวหายใจผิวน้ำและเริ่มทยอยตาย ปลาบางชนิดอึดตึกนรกเช่นปลาหมอสี ปลาซัคเกอร์ มันออกอาการแย่เช่นกันเมื่อโดนคลอรีน แต่สามารถทนจนกระทั่งคลอรีนระเหยหมดไปก็ค่อย ๆ กลับมาฟื้นสภาพตัวเองจนเป็นปรกติได้ แต่รับรองว่ามันไม่ทนได้ตลอดรอดฝั่งหรอกครับ ปริมาณคลอรีนที่ทางการประปาเขาประเคนใส่มาบางครั้งก็มากบางครั้งก็น้อย ขึ้นอยู่กับสภาพของน้ำที่นำมาเก็บ วันใดที่ปริมาณคลอรีนมากเกินปลารับไหวเมื่อนั้นมันก็ม่องเท่งได้เช่นเดียวกัน
น้ำที่ใช้เลี้ยงปลาไม่ควรเป็นน้ำประปาสดจากก๊อก ควรมีภาชนะเก็บพักน้ำไว้ก่อนสักสองสามวัน หรืออย่างน้อย 24 ชั่วโมงเพื่อให้คลอรีนระเหยออกหมดจึงค่อยนำมาใช้ หรืออีกวิธีหนึ่งที่นิยมแพร่หลายในวงการการเลี้ยงปลาสวยงาม คือการใช้เครื่องกรองที่มีบรรจุแอ็คติเวตเต็ดคาร์บอน (Activated Carbon) ซึ่งมีประสิทธิภาพในการดูดซับสารพิษต่าง ๆ โดยเฉพาะคลอรีนได้ดี เครื่องกรองแบบนี้มีขายตามร้านขายปลาทั่วไป วิธีการใช้ก็แค่ต่อเข้ากับก๊อกน้ำประปาธรรมดา ๆ นี่แหละ ปล่อยให้น้ำไหลผ่านไส้กรองแบบไม่แรงนักแล้วไหลลงตู้ได้เลย น้ำที่ได้จะเหลือปริมาณคลอรีนน้อยมาก อยู่ในระดับที่สามารถเลี้ยงปลาได้ แต่ก็ยังไม่เหมาะสำหรับปลาเล็ก ๆ อยู่ดี
ดังนั้นการพักน้ำไว้ก่อนจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดครับ

2 เปลี่ยนถ่ายน้ำหมดตู้หรือมากเกินไป
การเปลี่ยนถ่ายน้ำในตู้ปลาควรทำเป็นประจำ อย่าทิ้งไว้จนสภาพน้ำแย่แล้วค่อยเปลี่ยนทีละมาก ๆ หลายคนชอบเปลี่ยนน้ำแบบทีเดียวหมดตู้ ซึ่งเป็นวิธีการที่ผิดครับ ปลาส่วนหนึ่งอาจทนได้บ้างถ้าสภาพร่างกายแข็งแรงเพียงพอ แต่บางส่วนอาจเกิดอาการที่เรียกว่า “ช็อคน้ำใหม่” ซึ่งมักเกิดเป็นประจำหากเปลี่ยนถ่ายน้ำวิธีนี้ ปลาที่ช็อคน้ำใหม่จะมีอาการคล้ายปลาที่โดนคลอรีน คือทุรนทุราย หายใจหอบ พยายามกระโดดให้พ้นจากตู้ เมื่อร่างกายอ่อนแอเชื้อโรคต่าง ๆ ก็สามารถเข้าจู่โจมได้ง่ายมาก ดังนั้นจึงอาจเห็นปลาที่เกิดอาการตกเลือด ครีบเปื่อยตัวเปื่อยหรือเป็นจุดขาวได้บ่อยครั้ง สำหรับคนเลี้ยงที่นิยมเปลี่ยนถ่ายน้ำหมดตู้หรือมากเกินไป
การเปลี่ยนถ่ายน้ำที่ถูกวิธีไม่ควรเกิน 20-25 เปอร์เซ็นต์ และทำเป็นประจำไม่ทิ้งให้สภาพน้ำแย่ วิธีการก่อนเปลี่ยนน้ำคือควรเช็ดกระจกเสียก่อนด้วยฟองน้ำ จากนั้นก็ปล่อยให้ตกตะกอนสัก 10 นาที จากนั้นก็ใช้ไซฟอน (สายยางดูดน้ำที่มีปลายข้างหนึ่งเป็นทรงกระบอกยาวสักห้าหกนิ้ว) ดูดเอาฝุ่นตะกอนเศษอาหารที่ฝังตัวใต้กรวดออกมา พอหมดน้ำไปเศษหนึ่งส่วนสี่หรือ 25 เปอร์เซ็นต์ของน้ำทั้งหมดก็หยุด เติมน้ำใหม่ แค่นี้ก็เสร็จเรียบร้อย ไม่จำเป็นต้องย้ายปลาเข้า ๆ ออก ๆ ซึ่งมีผลทำให้ปลาเครียดและเกิดการติดเชื้อได้ง่ายเช่นกัน



3 ไม่ตรวจสอบอุณหภูมิของน้ำใหม่
แม้จะเปลี่ยนถ่ายน้ำแค่ 25% ด้วยน้ำที่พักไว้แล้วก็ตาม แต่หากไม่ตรวจสอบความต่างของอุณหภูมิก็อาจเกิดผลเสียได้ไม่ต่างกับสองข้อแรก ต้องไม่ลืมว่าปลาเป็นสัตว์เลือดเย็น การเปลี่ยนอุณหภูมิโดยฉับพลันส่งผลให้ปลาป่วยได้ง่ายมาก ตามบ้านทั่วไปที่มีแท็งค์พักน้ำ ตัวแท็งค์มักอยู่นอกบ้าน บางทีก็โดดแดดจนน้ำร้อนจี๋ แต่ถึงแม้ไม่โดนแดด แต่แค่ไอแดดหรือปูนซีเมนต์ที่คายความร้อนก็ทำให้อุณหภูมิของน้ำสูงกว่าน้ำในตู้ปลาหลายองศา ควรทดสอบอุณหภูมิเสียก่อน วิธีง่ายที่สุดคือใช้มือนี่แหละ จุ่มน้ำในตู้ค้างไว้สักพัก จากนั้นก็รีบย้ายมาจุ่มในน้ำที่กำลังจะเติม ถ้าใกล้เคียงกันก็โอเค แต่ถ้าต่างกันแบบรู้ชัดก็ต้องแก้ไขเสียก่อน โดยอาจเปิดน้ำใหม่ใส่ภาชนะที่วางไว้บริเวณเดียวกับตู้ปลาหรือใกล้เคียง ปล่อยทิ้งไว้จนอุณหภูมิเท่ากัน ค่อยๆเติมลงตู้ปลา หรืออีกวิธีหนึ่งสำหรับคนใจร้อนคือเติมน้ำแข็งลงไปในภาชนะพักน้ำ (ไม่ใช่เติมในตู้ปลาโดยตรงนะครับ) ค่อย ๆ ใส่ทีละก้อนแล้วเทียบอุณหภูมิ ซื้อเทอร์โมมิเตอร์มาสักตัวหนึ่งก็จะช่วยได้มากทีเดียว

4 ใส่ยาสารพัด
นักเลี้ยงปลามือใหม่มักซื้อยาอะไรก็ไม่รู้ติดมาด้วยเสมอ โดยเชื่อว่าการใส่ยาต่าง ๆ ลงไปจะทำให้น้ำสะอาดปราศจากเชื้อโรค ปลาก็จะได้ไม่ป่วยไข้ แต่กลับกลายเป็นว่ายิ่งใส่ปลาก็ยิ่งตาย พอไปถามร้านขายปลาที่ขาดประสบการณ์ก็อาจได้ยาชนิดใหม่เพิ่มขึ้นมาอีก แก้ปัญหาไม่ตรงจุดตามเคย
เคมีภัณฑ์สำหรับปลามีมากมายเหลือคณนานับ แต่บอกได้เลยว่าส่วนใหญ่ไม่มีความจำเป็น เป็นของที่เอาไว้สร้างกำลังใจเท่านั้นเอง และที่สำคัญบางทีมันกลับส่งผลเสียให้ทั้งตัวปลาและคนเลี้ยง หากไม่รู้วิธีการใช้งานมันอย่างถูกต้องถ่องแท้ อย่างเช่นมาลาไคท์กรีนที่เป็นน้ำยาสีเขียว ๆ ซึ่งมีฤทธิ์เป็นสารก่อมะเร็ง ห้ามสัมผัสผิวหนังเด็ดขาด
การเลี้ยงปลาที่ถูกต้องต้องเน้นที่ระบบ โดยเฉพาะระบบกรองน้ำ พยายามหลีกเลี่ยงบรรดาน้ำยาทั้งหลายทั้งมวลไม่ว่าจะเป็นน้ำยาทำน้ำใส น้ำยาฆ่าเชื้อโรค น้ำยาฆ่าเห็บหนอนสมอ น้ำยาฆ่าคลอรีน ฯลฯ ของพวกนี้เราจะใช้ก็ต่อเมื่อมันถึงคราวจริง ๆ เช่นเมื่อปลามีหนอนสมอเกาะตามตัวก็ค่อยแช่ด้วยน้ำผสมน้ำยาฆ่าหนอนสมอ เมื่อปลาเป็นโรคจุดขาวก็ค่อยใช้ยาสำหรับกำจัดจุดขาว ซึ่งก็ต้องเรียนรู้วิธีการใช้ที่ถูกวิธีด้วยจึงจะสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนน้ำยาน้ำใส น้ำยาฆ่าเชื้อโรค พวกนี้เลิกใช้ได้เลย เพราะไม่มีประโยชน์อะไรนอกจากเสริมสร้างรายได้ให้ผู้ผลิต
ตู้ปลาที่มีน้ำใสแจ๋วเหมือนกระจกไม่ได้เกิดจากการใช้น้ำยา แต่เป็นผลจากการใช้ระบบกรองน้ำที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งร้อยทั้งร้อยคือการกรองด้วยระบบชีวภาพ คือใช้แบคทีเรียมาช่วยในการย่อยสลายของเสีย เมื่อระบบกรองน้ำดี น้ำในตู้ก็ใสสะอาด ปลาก็มีสุขภาพแข็งแรงไม่เกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ง่าย ส่วนตู้ที่ไม่มีระบบกรองน้ำดีพอ ต่อให้ใส่น้ำยาทำน้ำใสเท่าไหร่มันก็ไม่ช่วยได้เลย