Our Fish

วันเสาร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย


      ฝนตกอากาศเย็นสร้างบรรยากาศดี ๆ หลายอย่าง ทว่าสำหรับคนเลี้ยงปลาแล้ว อากาศที่เปลี่ยนไปมาก็ค่อนข้างจะเป็นอะไรที่ต้องระแวดระวังกันไว้บ้างเหมือนกัน ช่วงอากาศแปรปรวนอย่างนี้มักมีปัญหาโรคปลาระบาด เห็นบ่อยที่สุดคือโรคจุดขาวที่มีลักษณะเหมือนมีผงเกลือป่นโรยไว้บนตัวปลา อีกโรคคืออาการตกเลือด ลักษณะคือผิวหนังหรือครีบบางส่วนเป็นรอยจ้ำแดงคล้ำ โรคพวกนี้ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีก็สามารถตายได้ยกตู้ เพื่อความไม่ประมาทหาซื้อยามาไว้เตรียมพร้อม ถ้าไม่เป็นก็ดีไป แต่ถ้าเกิดเป็นขึ้นมาจะได้จัดการแก้ไขได้ เพราะจะว่าไปก็ไม่ใช่โรคร้ายแรงอะไรนัก


      จุดขาวหรือ “อิ๊ค” นั้นเป็นโปรโตซัวชนิดหนึ่งที่ดำรงชีวิตอยู่ได้โดยอาศัยน้ำเลี้ยงจากเนื้อเยื่อของปลา ปลาที่เริ่มเป็นโรคจุดขาวจะมีอาการคันตัว ว่ายกระสับกระส่าย พยายามไถตัวกับพื้นหรือวัตถุแข็ง ๆ เพื่อให้จุดขาวหลุดออกไป เมื่อเป็นหนักเข้าก็จะซึม หมดเรี่ยวแรงและตาย ทั้งหมดนี้ใช้เวลาเพียงไม่กี่วันเท่านั้น


               การรักษาโรคจุดขาวควรเริ่มตั้งแต่เห็นอาการขั้นแรก ๆ ปลาส่วนใหญ่เมื่อถูกจุดขาวโจมตีระยะแรกก็ยังไม่ออกอาการผิดปรกติ แม้ว่าจะสังเกตเห็นจุดขาว ๆ เล็ก ๆ ตามตัวตามครีบบ้างแล้วก็ตาม ยารักษาโรคจุดขาวมีมากมายหลายชนิดตามท้องตลาด โดยมากจะมีส่วนประกอบของสารฟอร์มาลินและมาลาไคท์กรีน การใช้ต้องระมัดระวังเรื่องปริมาณให้ดีเนื่องจากสารทั้งสองชนิดนี้เป็นพิษต่อปลา หากใช้เกินกว่ากำหนดจะกลายเป็นฆ่าปลาที่เลี้ยงไว้เสียเอง หรือใช้น้อยเกินไปตัวยาก็จะไม่มีความรุนแรงพอที่จะไปยับยั้งโรคได้


            โรคตกเลือดเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในระยะที่ภูมิคุ้มกันโรคของปลาอ่อนแอ ร่างกายของปลาจะต่อต้านโรคโดยทำให้เส้นเลือดฝอยขยายตัว เช่นเดียวกับโรคจุดขาวคือถ้าเห็นอาการของโรคตั้งแต่ระยะแรกก็จะสามารถรักษาได้ไม่ยากเลย แต่ถ้าปล่อยไว้ไม่ทำอะไรเพียงไม่กี่วันปลาก็จะลาโลกอย่างง่ายดาย ยารักษาอาการตกเลือดมีหลายขนาน ส่วนมากคือยาปฏิชีวนะหรือยาฆ่าเชื้อ หาซื้อได้ตามร้านขายปลาทั่วไป วันนี้จะไม่ลงลึกถึงอาการของโรคและวิธีรักษา แต่อยากจะมาว่ากันถึงวิธีรับมือป้องกันจะดีกว่าครับ


          ในช่วงฤดูฝนนี้ อุณหภูมิเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก ปลาที่เลี้ยงปรับตัวไม่ทันจึงอยู่ในภาวะอ่อนแอ ง่ายต่อการติดเชื้อ สังเกตได้ว่าหลาย ๆ ท่านในระยะนี้ที่มีรสนิยมการเปลี่ยนถ่ายน้ำแบบนาน ๆ หลายเดือนทำสักครั้งมักมีปัญหาปลาเป็นโรคดังกล่าว นั่นเพราะสภาพน้ำในตู้ที่หมักหมมไว้นานทำให้เป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคชั้นดี ประกอบกับปลามีภูมิคุ้มกันโรคน้อยในช่วงอากาศเปลี่ยนแปลง เมื่อได้รับเชื้อเข้าไปก็ออกอาการแย่อย่างรวดเร็ว บางทีแค่คืนเดียวตายเกลี้ยงก็มี


          ดังนั้นการป้องกันอันดับหนึ่งคือควรหมั่นเปลี่ยนถ่ายน้ำและทำความสะอาดระบบกรองบ่อย ๆ ครับ
การเปลี่ยนถ่ายน้ำที่ถูกต้องคือเปลี่ยนถ่ายครั้งละไม่เกิน 20-25% ของน้ำในตู้ทั้งหมด และน้ำที่จะเติมกลับเข้าไปต้องเป็นน้ำสะอาดปราศจากคลอรีน ที่สำคัญต้องมีอุณหภูมิเท่ากันกับน้ำในตู้ด้วย และการเปลี่ยนถ่ายน้ำควรทำเป็นประจำ สัปดาห์ละครั้งสำหรับตู้เล็กถึงขนาดกลาง เดือนละครั้งสำหรับตู้ขนาดใหญ่ที่มีระบบกรองดีเยี่ยม อย่าใช้วิธีสังเกตสีน้ำหรือสังเกตความขุ่น เพราะถ้าน้ำมันเปลี่ยนสีหรือขุ่นข้นขึ้นมาแล้วก็แสดงว่าความเป็นพิษในน้ำนั้นมากมายมหาศาลแล้ว


          การทำความสะอาดระบบกรองต้องทำอย่างระมัดระวัง เนื่องจากกรองในตู้ปลามักเป็นกรองแบบชีวภาพ อาศัยจุลินทรีย์เป็นตัวย่อยสลายของเสียเปลี่ยนสภาพจากน้ำเสียมาเป็นน้ำดี การล้างควรล้างเฉพาะใยกรองที่เป็นด่านแรกที่น้ำในตู้ไหลผ่าน ส่วนวัสดุกรองนั้นไม่จำเป็นต้องเอาออกมาล้างบ่อยนัก เพราะจะทำให้จุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่สูญสลายไป (เสียดาย) ที่สำคัญ หลังจากเปลี่ยนถ่ายน้ำเสร็จก็อย่าไปใส่พวกเคมีภัณฑ์ทั้งหลายแหล่ (เช่นยาปรับสภาพน้ำใส ยาลดคลอรีน ยาฆ่าเชื้อ ยาฆ่าพยาธิ ฯลฯ) ตามคำโฆษณาจากบรรดาร้านขายปลา เพราะจะทำให้เชื้อจุลินทรีย์ถูกฆ่าไปด้วย ระบบนิเวศในน้ำก็จะเสียสมดุล  ลดปริมาณอาหารลง เพื่อช่วยให้คุณภาพน้ำดีขึ้น จากที่เคยให้วันละสองมื้อก็อาจเหลือแค่มื้อเดียว หรือจากที่เคยให้สิบเม็ดก็ปรับลงเหลือสักห้าหกเม็ดก็พอ ไม่ต้องกลัวว่ามันจะหิว เพราะสภาพอากาศแบบนี้ปลามักกินน้อยอยู่แล้วในธรรมชาติ


             สำหรับคนที่เลี้ยงปลาด้วยอาหารสด ต้องระวังเชื้อโรคต่าง ๆ ที่จะมาพร้อมอาหาร เพราะอาหารสด ๆ เป็น ๆ เช่นลูกปลานิล กุ้งฝอย จะถูกกักไว้อย่างแออัดในร้านค้าขณะรอจำหน่าย บ่อยครั้งที่พบว่าเหยื่อเหล่านี้ติดเชื้อแบคทีเรียขั้นรุนแรงหรือโรคจุดขาวที่เห็นแล้วสยองขวัญมาก เป็นไปได้หาซื้อร้านที่มีระบบจัดเก็บแบบถูกสุขลักษณะอนามัย และถ้าเป็นไปได้ก็ควรเอาปลาเหยื่อเหล่านั้นมาเลี้ยงกักโรคไว้ก่อน เมื่อแน่ใจแล้วว่าปราศจากโรคค่อยเอาไปใช้งาน และอย่าให้เหยื่อเป็นครั้งละมาก ๆ เกินกว่าปลาจะกินหมดในหนึ่งมื้อ


         อุปกรณ์บางอย่างก็น่าหาซื้อมาใช้กันมากในช่วงนี้ นั่นก็คือฮีทเตอร์ หรือเครื่องทำความร้อนในตู้ปลา ลักษณะเป็นแท่งแก้ว (หรือสแตนเลส) สามารถตั้งอุณหภูมิให้สูงขึ้นได้ตามต้องการ เดี๋ยวนี้ราคาไม่แพง หาซื้อได้ทั่วไป แต่ควรเลือกแบบที่มีเทอร์โมสตัดเพื่อให้ตัดการทำงานหากอุณหภูมิอยู่ในระดับที่ตั้งไว้แล้ว  ฮีทเตอร์มีประโยชน์คือทำให้อุณหภูมิในน้ำสูงขึ้นและคงที่ ตู้ปลาที่ติดตั้งฮีทเตอร์จะไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องโรคหน้าหนาว (ยกเว้นประเภทติดฮีทเตอร์แล้วแต่ก็ยังขี้เกียจเปลี่ยนถ่ายน้ำ อีแบบนี้ยังไงก็ต้องมีปัญหาอยู่ดี) การใช้งานฮีทเตอร์ก็ง่ายแสนง่าย ก่อนอื่นเลือกขนาดฮีทเตอร์ให้เหมาะกับขนาดตู้ปลาของเรา โดยใช้สูตรคำนวณคร่าว ๆ คือ 1 วัตต์ต่อน้ำ 1 ลิตร เช่นตู้ปลาขนาดจุน้ำ 100 ลิตร ก็ให้เลือกใช้ฮีทเตอร์ขนาด 100 วัตต์หรือใกล้เคียง ตั้งค่าฮีทเตอร์ไม่เกิน 30 องศาเซลเซียส ติดตั้งลงในตู้ปลาโดยจุ่มแช่ไว้เหลือแค่ส่วนหัวพ้นน้ำขึ้นมาเล็กน้อย (ทุกยี่ห้อจะมีขีดบอกระดับน้ำไว้) เสร็จแล้วค่อยเสียบปลั๊ก ไฟแสดงสถานการณ์ทำงานจะติดสว่าง ถ้าไฟดับแสดงว่าอุณหภูมิน้ำถึงจุดที่ตั้งไว้แล้ว (หรือไม่ก็เสีย)
ทำได้ดังนี้รับรองว่าอากาศจะเปลี่ยนก็ยังเลี้ยงปลาได้สบาย ๆ ขอให้สนุกกับการเลี้ยงปลาทุกท่านครับ


บทความโดย พิชิต ไทยยืนวงษ์

วันอังคารที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เดนิสันอาย ตะเพียนหน้าแดงอินเดีย



 ในบรรดาคนนิยมชมชอบตู้พรรณไม้น้ำ ไม่มีใครไม่รู้จักปลาตะเพียนหน้าแดง
                ปลาตะเพียนหน้าแดงเป็นปลาขนาดปานกลาง มีแหล่งอาศัยในแม่น้ำทางตอนใต้ของประเทศอินเดีย เมื่อโตเต็มที่จะยาวประมาณ 15 ซ.ม. ตัวผู้ตัวเมียขนาดเท่ากันจึงทำให้การดูเพศเป็นไปแทบไม่ได้ ลักษณะรูปร่างของตะเพียนหน้าแดงคล้ายกับปลาหางไหม้ (Balantiocheilos melanopterus) คือลำตัวยาวแบนข้างเล็กน้อย ส่วนหัวเรียวแหลม ปากเล็ก ครีบกระโดงหลังสูงตั้งชันคล้ายครีบของปลาฉลาม
                สิ่งที่ทำให้ตะเพียนหน้าแดงดูโดดเด่นกว่าปลาในวงศ์ปลาตะเพียน (Family Cyprinidae) ชนิดอื่นคือสีสันของมัน ในขณะที่ปลาตะเพียนทั่วไปมักมีลำตัวสีเงินอมเทาหรือบางชนิดก็เป็นเพียงเหลืองอมทอง แต่ตะเพียนหน้าแดงกลับพิเศษกว่านั้นคือนอกจากสีพื้นลำตัวจะเป็นสีเงินวาวเงางามแล้ว ยังมีเส้นดำพาดจากมุมปาก ผ่านดวงตาวิ่งยาวกลางลำตัวไปสิ้นสุดที่เกล็ดสุดท้ายของโคนหางโดยมีแถบสีแดงซึ่งแดงสดจริง ๆ วิ่งขนานคู่กันเหนือขึ้นไปเล็กน้อย จากปากยาวไปจนถึงกึ่งกลางลำตัว เส้นนี้เองทำให้มันกลายเป็นปลาที่ได้รับการยกย่องกันว่าสวยงามอย่างมากและมีนักเลี้ยงปลาทั่วโลกหมายปองอยากนำไปเลี้ยงไว้ในตู้ของตน
                นอกเหนือจากเส้นสีดำและแดงที่กล่าวมาแล้ว ตะเพียนหน้าแดงยังมีจุดที่สวยงามอื่น ๆ อีกเช่นครีบกระโดงหลังที่มีสันครีบเป็นสีแดงสดแล้วค่อย ๆ จางไล่มาอย่างมีศิลปะ กับครีบหางที่บางใสตรงกลางสลับด้วยสีดำและเหลืองทองทั้งล่างและบน ดูราวกับว่าเป็นปลาที่เกิดจากฝีมือรังสรรค์ของจิตรกรเอกมากกว่าจะถือกำเนิดมาจากธรรมชาติที่เป็นเพียงลำธารไหลเอื่อยสีขุ่น
ปลาตะเพียนหน้าแดงมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Puntius denisonii นักเลี้ยงปลารุ่นใหม่จึงมักเรียกทับศัพท์ไปเลยว่า เดนิสัน แต่ชื่อที่คุ้นปากกันก็ยังคงเป็นปลาตะเพียนหน้าแดงอยู่นั่นเอง ในวงการมีนวิทยา ปลาชนิดนี้ถูกพบและนำมาศึกษาวิจัยเป็นร้อยปีแล้ว แต่กว่าโลกจะได้รู้จักปลาแสนสวยชนิดนี้ก็ต้องใช้เวลาอีกนานหลายสิบปี ในเมืองไทยเอง ตะเพียนหน้าแดงเพิ่งถูกนำเข้ามาสร้างสีสันให้วงการเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา จัดได้ว่าเป็นปลาราคาสูงและมีปริมาณน้อยจริง ๆ
ในธรรมชาติ ตะเพียนหน้าแดงอาศัยในลำธารหรือแม่น้ำที่ไหลเอื่อย ๆ ตามเชิงเขาทางตอนใต้ของประเทศอินเดีย สภาพน้ำคล้ายกับบ้านเราคือไม่ใสมากนัก มีอุณหภูมิค่อนข้างเย็นประมาณ 15-25 องศาเซลเซียส ค่าความเป็นกรดเป็นด่างอยู่ราว ๆ 6.5 และแทบไม่มีความกระด้างเลย พวกมันจะว่ายทวนน้ำในระดับความลึกปานกลางเพื่อจับเอาสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กชนิดต่าง ๆ ที่ลอยมาตามน้ำกินเป็นอาหาร ตะเพียนหน้าแดงกินทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นพืชหรือสัตว์ เศษซากต้นไม้ใบไม้ ตัวอ่อนแมลงน้ำ ลูกปลาขนาดจิ๋ว ฯลฯ 
การเลี้ยง
ตะเพียนหน้าแดงไม่ใช่ปลาเล็ก ฉะนั้นจึงควรเลี้ยงในตู้ขนาด 36 นิ้วขึ้นไป แต่จะดีมากถ้าเป็นตู้ใหญ่กว่านั้นและติดตั้งปั๊มน้ำสร้างบรรยากาศให้คล้ายคลึงกับสภาพน้ำของลำธารที่มีกระแสน้ำไหลเวียนอยู่ตลอดเวลา การจัดตกแต่งตู้ควรเน้นให้มีพื้นที่ส่วนหน้าสำหรับให้ปลาว่ายน้ำ อย่าวางสิ่งรบกวนเช่นขอนไม้ที่มีกิ่งก้านระเกะระกะ ซึ่งปลาอาจต้องคอยว่ายหลบหลีกทำให้มันเครียด หากชอบประดับตู้ด้วยขอนไม้ประเภทนั้นควรจัดวางให้เลยแนวกลางของตู้ค่อนไปทางด้านหลังจะดีกว่า
ปลาตะเพียนหน้าแดงกินพืชด้วยก็จริง ทว่าในตู้ต้นไม้น้ำพวกมันกลับไม่ใช่นักทำลายล้างอย่างปลาตะเพียนชนิดอื่น ๆ  อาจเป็นไปได้ว่าในธรรมชาติมันจำเป็นต้องกินทุกอย่างตามแต่จะพบเพื่อเอาชีวิตรอด แต่ในตู้เลี้ยงซึ่งมีอาหารการกินอุดมสมบูรณ์และเป็นเวลาแน่นอน ปลาจึงไม่จำเป็นต้องหาอาหารอื่นนอกจากรอเวลาให้คนมาหยิบยื่นให้นั่นเอง นี่จึงทำให้ปลาตะเพียนหน้าแดงได้รับความนิยมถูกนำมาเลี้ยงในตู้พรรณไม้น้ำโดยเฉพาะในปลาวัยเด็ก
การจัดตู้ หากไม่ใช่ตู้พรรณไม้น้ำเต็มรูปแบบแล้ว การจัดตู้สำหรับเลี้ยงปลาตะเพียนหน้าแดงก็ถือว่าง่ายไม่ยุ่งยากซับซ้อนเลยสักนิดเดียว แค่มีตู้ขนาดปานกลางหรือขนาดใหญ่หน่อยสักใบหนึ่ง มีระบบกรองข้างตู้ที่ใช้ปั๊มน้ำสร้างการหมุนเวียน ปูพื้นตู้ด้วยกรวดแม่น้ำ หลีกเลี่ยงทรายทะเลหรือหินปะการังซึ่งจะทำให้น้ำกระด้าง ตกแต่งด้วยขอนไม้ขนาดไม่ต้องใหญ่มากและพืชน้ำเล็ก ๆ น้อย ๆ  แค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับการเลี้ยงตะเพียนหน้าแดงสักฝูงหนึ่ง
อาหารสำหรับตะเพียนหน้าแดงสามารถใช้ได้ทั้งอาหารสดและอาหารสำเร็จรูป การให้ไม่ควรให้มากเกินไป อาจแบ่งให้เป็นสองสามมื้อ ๆ ละน้อย ๆ พอให้ปลากินหมดใน 2-3 นาที
ปลาที่เลี้ยงรวมกับตะเพียนหน้าแดงควรเป็นปลาที่มีนิสัยไม่ก้าวร้าว และจะให้ดีที่สุดควรเลือกปลาที่มีระดับการว่ายต่างกันเพราะจะเกิดความสวยงามเวลาดู ตัวอย่างปลาดังกล่าวก็มีเช่น ปลาหมอแคระอย่างแรมเจ็ดสี (Microgeophagus ramirezi) ปลาหมอแรมโบลิเวีย (Microgeophagus altispinosus) ปลาหมู (Botia spp.) ปลาแพะ (Corydoras spp.) แต่ถ้าเลี้ยงปลาที่ว่ายน้ำระดับเดียวกับตะเพียนหน้าแดง มันจะทำให้ดูยุ่งเหยิงกันไปหมด แทนที่จะสบายตาคนดูอาจเวียนศีรษะแทน
ข้อควรระวังในการเลี้ยงคือเรื่องของการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิฉับพลัน โดยเฉพาะในช่วยฤดูฝน ซึ่งจะทำให้ปลาอ่อนแอติดโรคได้ง่าย ในช่วงฤดูดังกล่าวควรสังเกตสภาพภูมิอากาศ หากมีทีท่าว่าจะมีฝนตกหนักควรงดอาหารและอาจเปลี่ยนถ่ายน้ำเล็กน้อย
ยังไม่ปรากฏหลักฐานเป็นเรื่องเป็นราวสำหรับการเพาะพันธุ์ปลาชนิดนี้ แต่ค่อนข้างแน่ใจได้ว่าตะเพียนหน้าแดงสามารถเพาะพันธุ์ได้ในตู้เลี้ยง ประเทศที่สามารถเพาะพันธุ์ส่งออกได้เป็นจำนวนพอสมควรคือประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องดีเพราะปลาตะเพียนหน้าแดงในธรรมชาตินั้นลดจำนวนลงอย่างรวดเร็วในระยะไม่กี่ปีที่ผ่านมา และอาจเป็นไปได้ว่าถ้าไม่มีการป้องกันแก้ไขเสียแต่ตอนนี้ อีกไม่กี่ปีข้างหน้าปลาตะเพียนหน้าแดงจากธรรมชาติอาจสูญพันธุ์จากไปไม่มีวันกลับคืน
ผมไม่แน่ใจว่านักเพาะพันธุ์ปลาในเมืองไทยสามารถเพาะตะเพียนหน้าแดงได้บ้างหรือยัง ถ้ายังก็รีบ ๆ เข้าเพราะเชื่อมือคนไทยว่าในเรื่องปลาสวยงามแล้วเราไม่เคยเป็นรองชาติใดในโลก แต่ถ้าเพาะออกมาได้แล้วก็ขอแสดงความยินดีด้วย และหากเป็นไปได้ก็อยากให้มีการขยายวงกว้าง เพื่อทำให้กลายเป็นปลาสวยงามสำหรับส่งออกต่อไป  
 บทความ                      พิชิต  ไทยยืนวงษ์
ภาพโดย                       สายพร มาพรหม

วันอังคารที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ปลาทองไม่ได้ความจะสั้นซักหน่อย ตอนที่ 2



            การเลี้ยงปลาทองมักนิยมเลี้ยงกันในตู้กระจก รองลงไปคืออ่าง ส่วนบ่อขนาดใหญ่นั้นก็มีบ้างเหมือนกัน แต่ไม่มากนักเพราะคนมีบ่อใหญ่มักนิยมเลี้ยงปลาแฟนซีคาร์พหรือไม่ก็เป็นอะไรที่ใหญ่แบบไม่ธรรมดา (เช่นพวกปลาช่อนอเมซอน ปลาอัลลิเกเตอร์การ์ ซึ่งเป็นปลาขนาดยักษ์เป็นต้น)


1 ตู้กระจก
           ตู้กระจกสำหรับเลี้ยงปลาทองนั้นไม่แตกต่างกับตู้เลี้ยงปลาทั่วไป ผิดกันแต่ควรมีขนาดปานกลางถึงขนาดใหญ่ จุน้ำได้อย่างน้อยสัก 60-70 ลิตรขึ้นไปจะเป็นการดียิ่ง เพราะปลาทองเป็นปลารูปร่างใหญ่ โตเร็ว ต้องการพื้นที่ว่ายน้ำมาก


          ปลาทองหนึ่งตัวใช้น้ำอย่างน้อย 35 ลิตร ตู้มาตรฐานหน้ากว้าง 24 นิ้วจุน้ำได้ประมาณ 70 ลิตร ก็สามารถเลี้ยงปลาทองได้ 2 ตัว นักเลี้ยงส่วนใหญ่ชอบเลี้ยงปลาทองเป็นฝูงย่อม ๆ จึงควรเลือกตู้ให้มีขนาดเหมาะสมเพื่อให้ปลาอาศัยอยู่ได้อย่างมีความสุขครับ
          ระบบกรองน้ำก็เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากปลาทองมีนิสัยกินเก่งและขับถ่ายของเสียในปริมาณมาก (การจำกัดอาหารเพื่อลดปริมาณของเสียก็เป็นทางแก้วิธีหนึ่ง แต่ก็จะมีผลทำให้ปลาขาดความสมบูรณ์) ตู้ปลาสมัยนี้มีระบบกรองที่ติดตั้งอยู่ภายในเสร็จสรรพ เป็นระบบกรองแบบชีวภาพที่อาศัยแบคทีเรียหรือจุลินทรีย์เป็นตัวย่อยสลายเปลี่ยนสภาพน้ำเสียให้กลายเป็นน้ำดี ควรเลือกตู้ที่มีระบบกรองใหญ่เพียงพอ หรืออาจใช้กรองแบบติดตั้งนอกตัวตู้ (External Filter) ก็ได้ในกรณีที่ไม่อยากเสียพื้นที่ภายในตู้
         ระบบกรองน้ำที่ดีดูได้จากเมื่อระบบเริ่มทำงาน การไหลเวียนของน้ำในตู้ต้องเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ ไม่แรงหรือเบาเกินไป น้ำจากในตู้ไหลผ่านขั้นตอนต่าง ๆ ของระบบกรองได้เต็มพื้นที่ไม่ใช่ไหลลงเป็นบางส่วน วัสดุสำหรับกรองน้ำมีหลัก ๆ 2 ส่วนคือส่วนที่กรองของเสียในรูปของฝุ่นตะกอน เศษอาหารตกค้าง เศษใบไม้ เมือกปลาและขี้ปลา กับอีกส่วนคือส่วนบำบัดซึ่งจะใช้วัสดุบางอย่างให้จุลินทรีย์มาอยู่อาศัยเพื่อให้จุลินทรีย์นั้นสร้างกระบวนการย่อยสลายของเสียที่มาในรูปของแอมโมเนียและไนไตรท์ น้ำที่ผ่านกระบวนการกรองทั้งสองแบบจะเป็นน้ำที่กลับมามีคุณภาพดีกว่าเดิม  ทว่าต้องไม่ลืมนะครับ ว่าระบบกรองสำหรับตู้ปลานั้นเทียบสัดส่วนกับตู้แล้วเล็กนิดเดียว เพราะจะทำให้ใหญ่โตก็ดูเทอะทะไม่สวยและกินพื้นที่ เพราะฉะนั้นมันจึงมีขีดจำกัดสำหรับการกรองน้ำได้ในระดับหนึ่งเท่านั้นครับ สิ่งที่จะช่วยได้ในขั้นต่อไปคือการเปลี่ยนถ่ายน้ำออกบางส่วน ในระยะเวลาที่สม่ำเสมอไม่ทิ้งช่วงให้นานจนเกินไป ซึ่งโดยทั่วไปจะนิยมเปลี่ยนถ่ายน้ำ 20-25% สัปดาห์ละครั้ง

           การจัดตู้สำหรับเลี้ยงปลาทองไม่ยุ่งยาก
เนื่องจากปลาทองได้สูญเสียบุคลิกของปลาตามธรรมชาติไปแล้ว กลายเป็นปลาว่ายน้ำอุ้ยอ้ายเชื่องช้า และซุ่มซ่าม (ยกเว้นปลาทองบางสายพันธุ์ที่คงลักษณะใกล้เคียงบรรพบุรุษเดิมเช่นปลาทองโคเมทและชูบุงกิน) ดังนั้นการจัดตู้ปลาทองจึงยึดหลักเรียบง่ายให้พื้นที่ว่ายน้ำเยอะเข้าไว้ ควรปูพื้นด้วยกรวดที่ไม่มีความแหลมคม ขนาดของกรวดต้องไม่ใหญ่เกิน 5 มิลลิเมตร ประดับด้วยหินกลมเกลี้ยงในบางจุด หลีกเลี่ยงหินที่มีผิวสาก หยาบ หรือพวกขอนไม้กิ่งไม้ที่อาจจะมาจิ้มพุงปลาทองของเราได้ ส่วนต้นไม้นั้นสามารถนำมาปลูกได้เหมือนกันครับ แต่ต้องเลือกใช้ต้นที่มีความทนทานสักหน่อยเพราะปลาทองชอบแทะยอดอ่อน ๆ และชอบคุ้ยไปตามพื้นซึ่งอาจทำให้รากของต้นไม้เสียหาย


           ปลาทองต้องการวิตามินจากแสงแดด เมื่อได้รับในปริมาณที่พอเหมาะปลาจะมีผิวพรรณและสีสันสดสวยงามและมีความต้านทานโรคได้ดีกว่าปลาที่ถูกเลี้ยงในที่ร่มครึ้มตลอดเวลา แต่ทว่าการจะเอาตู้ปลาไปตั้งให้โดนแสงอาทิตย์นั้นคงเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยเหมาะนัก เนื่องจากแสงอาทิตย์นอกจากจะทำให้อุณหภูมิของน้ำในตู้ขึ้นสูงแล้วยังเป็นตัวเร่งให้เกิดตะไคร่น้ำเขียว ๆ มาเกาะแน่นตามผนังกระจกอีกด้วย ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการดูปลา จะขัดล้างทำความสะอาดแต่ละทีกลายเป็นงานใหญ่วุ่นกันไปทั้งบ้าน
ดีที่สุดสำหรับตู้ปลาคือใช้หลอดไฟฟลูออเรสเซนส์ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับเลี้ยงปลา ตัวหลอดไฟติดตั้งพร้อมอยู่บนฝาหรือโคม เปิดต่อเนื่องกันไม่เกิน 6-8 ชั่วโมงต่อวัน ความเข้มข้นของแสงไม่เร่งให้เกิดตะไคร่ง่ายเหมือนแสงจากดวงอาทิตย์ ที่สำคัญคืออุณหภูมิสีของหลอดที่เหมาะสมจะทำให้สีของปลาสดเข้มได้อีกหลายขุมทีเดียว

2 อ่าง
          การเลี้ยงปลาทองในอ่างได้รับความนิยมอยู่ไม่น้อย เพราะโดยปรกติตามบ้านคนที่พอจะมีพื้นที่สักหน่อยก็มักปลูกเลี้ยงต้นไม้จัดสวนหย่อมไว้ดูเพลิดเพลินตา อ่างดินเผาใบย่อม ๆ ดูกลมกลืนกับบริบทของสวน ยิ่งมีปลาเล็ก ๆ แหวกว่ายก็ยิ่งทำให้สวนนี้ดูมีชีวิตชีวาเพิ่มขึ้น
อ่างที่เหมาะจะเลี้ยงปลาทองนั้นไม่ควรเล็กนัก ใช้หลักเดียวกับตู้ปลานั่นแหละครับคือปลาหนึ่งตัวต่อน้ำ 35 ลิตร วิธีการคำนวณปริมาตรน้ำในพื้นที่วงกลมคือ รัศมี x รัศมี x 3.14 x ความสูงของระดับน้ำ แล้วหารด้วย 1000 (ทั้งหมดใช้หน่วยวัดเป็นเซนติเมตร) ค่าที่ได้อาจจะไม่ตรงกับความเป็นจริงนักเพราะรูปทรงของอ่างมักจะมีก้นสอบลงหรือไม่ก็ป่องกลาง แต่ก็สามารถใช้เป็นตัวช่วยคำนวณได้ในระดับหนึ่งครับ

          อ่างปลาจะได้เปรียบตู้กระจกก็ตรงที่สามารถรับแสงแดดได้โดยไม่ต้องไปกังวลกับปัญหาตะไคร่น้ำมาเกาะผนังอ่าง แต่ก็ควรหลีกเลี่ยงไม่ให้ได้รับแสงแรงเกินไปเพราะน้ำจะร้อน
ระบบกรองน้ำในอ่างมีให้เลือกหลายแบบ ที่ติดตั้งง่ายที่สุดคือระบบกรองพื้นฐานที่อาศัยปั๊มลมขนาดเล็กเป็นตัวผลักดันให้เกิดอากาศเคลื่อนลงไปในน้ำ เช่นกรองกระป๋อง กรองโฟม แต่กรองจำพวกนี้มีขนาดเล็ก ประสิทธิภาพในการบำบัดน้ำจึงต่ำ อาจเลือกใช้กรองนอก (External Filter) จะเหมาะสมกว่า ซึ่งเดี๋ยวนี้มีออกแบบเป็นถังพีวีซี ติดตั้งง่ายและทนแดดทนฝน ราคาก็ไม่แพงครับ
แต่หลายคนก็ไม่อยากให้มีอุปกรณ์ไฟฟ้ามาตั้งในบริเวณสวนเนื่องจากเกรงว่าอาจเกิดอันตราย การเลี้ยงปลาทองในอ่างที่ปราศจากระบบกรองน้ำและระบบเพิ่มอากาศก็ยังสามารถทำได้ครับ (สมัยโบราณไม่มีไฟฟ้าใช้ยังเลี้ยงกันมาได้) แค่อย่าเลี้ยงปลาจำนวนมากในอ่างเดียวกัน (เปลี่ยนจากสูตร 1 ตัวต่อน้ำ 35 ลิตร เป็น 1 ตัวต่อน้ำ 100 ลิตร) ตั้งวางอ่างในบริเวณที่มีอากาศปลอดโปร่งมีลมพัดให้ผิวน้ำเคลื่อนตัว และควรปลูกพืชน้ำเช่นพวกต้นกก ต้นอเมซอน ต้นคล้าน้ำ เพื่อช่วยสร้างคุณภาพน้ำที่ดีและเพิ่มออกซิเจน ที่สำคัญต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำบ่อย ๆ ในปริมาณแบบเดียวกับที่เลี้ยงในตู้กระจกครับ

3 บ่อ
            ไม่ค่อยเห็นคนเลี้ยงปลาทองในบ่อขนาดใหญ่ โดยมากบ่อปลาทองจะเล็กกะทัดรัด ลักษณะโดยรวมคล้าย ๆ อ่างนั่นแหละครับ เพียงแต่จุน้ำได้มากกว่าและอาจมีระบบกรองน้ำที่เข้าที่เข้าทางมากกว่า เพราะฉะนั้นการเลี้ยงจึงเป็นแบบเดียวกับอ่างนั่นเอง
(ต่อตอนหน้าครับ)

บทความโดย พิชิิต ไทยยืนวงษ์

วันพุธที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ปลาทองไม่ได้ความจำสั้นซักหน่อย ตอนที่ 1


พิชิต ไทยยืนวงษ์

ปลาทองไม่ได้ความจะสั้นซักหน่อย   ตอนที่ 1
                ถ้าพูดกันถึงปลาสวยงาม คนส่วนใหญ่เป็นต้องนึกถึงปลาทองก่อนเป็นอันดับแรก นั่นเพราะปลาทองเป็นปลาที่เลี้ยงง่าย มีสีสันสวยงาม มีรูปร่างหน้าตาน่ารักน่าชัง ราคาก็ไม่ได้แพงมากมายอะไร ใครก็ซื้อหามาเลี้ยงได้ไม่ยากเย็นนัก
                อ่านประวัติความเป็นมาของปลาทอง เขาเล่าว่าแรกเริ่มเดิมทีสักพันกว่าปีก่อน ปลาทองป็นปลาพื้นเมืองในประเทศจีน อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำทั่วไปและไม่ได้มีสีสันสวยงามอย่างทุกวันนี้ หากแต่คล้ายคลึงกับปลาตะเพียนและปลาไนมากเพราะอยู่ในวงศ์เดียวกัน (Family Cyprinidae) ปลาทองเดิมทีมีสีเทา สีน้ำตาล มีขนาดใหญ่พอที่ชาวจีนจะเอามากินเป็นอาหารได้ จึงมีความนิยมเพาะเลี้ยงกันเพื่อการนี้อย่างเป็นล่ำเป็นสัน ปลาที่ถูกเพาะเลี้ยงนี้ต่อมาก็เกิดผ่าเหล่ากลายเป็นปลาที่มีสีเหลืองบ้าง ทองและแดงบ้าง ออกมาอยู่เนือง ๆ  จึงเริ่มมีการนำไปเลี้ยงในบ่อเพื่อความสวยงาม ความนิยมเกิดขึ้นแพร่หลายในหมู่ขุนนางและคหบดี ส่วนคนจน ๆ ยังไม่มีปัญญาเลี้ยงเพราะราคาแพงและจัดเป็นสิ่งฟุ่มเฟือย ร้านขายปลาอย่างสมัยนี้ก็ยังไม่มี การจะได้ปลาทองมาเลี้ยงประดับบารมีในบ่อสักตัวจึงต้องมีพาวจริง ๆ เท่านั้น
                โชคดีที่ปลาทองเป็นปลาเพาะพันธุ์ง่าย ในเวลาต่อมาปลาทองก็กลายเป็นสัตว์เลี้ยงที่หาซื้อได้ไม่ยากอีกต่อไป แถมยังมีสายพันธุ์ที่ได้รับการพัฒนาแตกแขนงออกมาอีกมากมาย จากปลาทองสามัญที่หน้าตาคล้ายปลาตะเพียนก็กลายเป็นปลาที่มีรูปร่างรูปทรงหลากหลาย มีสีสันทั้งเหลือง แดง ขาว ฟ้าและดำ บางตัวก็ไม่เลือกฝ่ายคือมีหลายสีในตัวเอง ราคาก็ถูกลงมากกว่าแต่ก่อนหลายเท่า
                ปลาทองเริ่มโกอินเตอร์เมื่อต้นศตวรรษที่ 17 ประเทศญี่ปุ่นรับเอาปลาทองไปปรับปรุงพันธุ์และเลี้ยงกันอย่างแพร่หลาย สร้างสายพันธุ์ใหม่ ๆ ขึ้นมาให้มีหน้าตาแตกต่างไปจากบรรพบุรุษของมัน เช่นพันธุ์ริวกิ้น พันธุ์โตซากิ้น เป็นต้น ในทวีปยุโรป มีหลักฐานว่าชาวโปรตุเกสนำปลาทองขึ้นเรือไปประเทศตัวเองเมื่อปีค.ศ. 1620 ฝรั่งสมัยนั้นคงตื่นเต้นยกใหญ่
                สำหรับประเทศไทย ปลาทองเริ่มเข้ามาได้รับความนิยมในสมัยแผ่นดินของพระเพทราชา สมัยอยุธยา โดยมีหลักฐานจากวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผนบางตอนว่า...
                ...ถัดถึงกระถางอ่างน้ำ                        ปลาทองว่ายคว่ำเคล้าคลึงสม
                พ่นน้ำดำลอยถอยจม                             น่าชมชักคู่อยู่เคียงกัน
                บ้างแหวกจอกออกช่องภูเขาเคียง        วัดเหวี่ยงแว้งหางระเหิดหัน
                บ้างกินไคลไล่เคล้าพัลวัน                    ถัดนั้นแอกไถละไมงอน...
                ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้จะยังมีลูกหลานปลาทองที่สืบเชื้อสายมาจากปลาในอ่างหลังบ้านท่านขุนช้างอยู่บ้างหรือเปล่า แต่ที่แน่ ๆ ปลาทองกลายเป็นปลายอดนิยมในเมืองไทย คนไทยชอบเลี้ยงสัตว์ โดยเฉพาะปลาสวยงาม ปลาทองนั้นแม้จะถือกำเนิดในประเทศที่หนาวเย็นอย่างประเทศจีน แต่ก็สามารถปรับตัวอยู่ในประเทศร้อน ๆ อย่างบ้านเราได้สบาย แถมการเพาะพันธุ์ก็ดูท่าจะง่ายกว่าเมืองหนาวเสียด้วยซ้ำ
                ปลาทองอยู่ร่วมวงศ์เดียวกันกับปลาตะเพียนและปลาส่วนใหญ่ในแม่น้ำเมืองไทยเรา มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Carassius auratus auratus ปลาทองในธรรมชาติมีขนาดค่อนข้างใหญ่ โตเต็มที่อาจมีความยาวกว่า 50 ซ.ม. และมีน้ำหนักราว 4 กิโลกรัม ทว่าปลาทองที่นำมาเพาะเลี้ยงและปรับปรุงพันธุ์เพื่อความสวยงามและเหมาะกับการเลี้ยงในที่แคบจะมีขนาดเล็กกว่ามาก โดยเฉลี่ยจะมีความยาวไม่เกิน 25 ซ.ม. (ไม่รวมหาง) ซึ่งจะว่าไปก็ถือว่าใหญ่มากแล้ว
                เราคงเคยได้ยินประโยคที่ว่า ปลาทองความจำสั้น กันมาบ้าง ด้วยเหตุที่บางคนเข้าใจเอาว่าปลาทองเป็นสัตว์สมองน้อย จดจำอะไรไม่ได้นานนัก แค่ไม่กี่นาทีก็ลืมแล้วเช่นการกินอาหาร ให้ไปแล้วไม่ทันไรก็ขึ้นมาขออีก อะไรทำนองนี้ คนที่ขี้หลงขี้ลืมมักถูกล้อว่ามีความจำแบบปลาทอง บางคนรีบออกตัวก่อนเลยเวลาจะโดนใช้งานด้านจด ๆ จำ ๆ ว่าอย่ามาใช้ชั้นนะเฟ้ย ชั้นน่ะความจำสั้นเหมือนปลาทองเปี๊ยบ
                ในความเป็นจริง ปลาทองมีมันสมอง มีความคิดและความทรงจำไม่ได้ด้อยไปกว่าปลาส่วนใหญ่เลย แถมยังออกจะเหนือกว่าด้วยซ้ำเพราะมีผู้พิสูจน์แล้วหลายครั้งหลายหนว่าปลาทองสามารถจดจำใบหน้าของเจ้าของมันได้ สามารถจำแนกการเคลื่อนไหว การสั่นสะเทือนของฝีเท้าคนได้อย่างไม่น่าเชื่อ เช่นในกรณีของปลาทองที่มีดวงตาบอดสนิท (เนื่องจากมีวุ้นมาบัง) สามารถขึ้นมารอขออาหารจากเจ้าของได้เนื่องจากคุ้นเคยและจดจำจังหวะการก้าวเท้าและการเคลื่อนไหวได้ เจ๋งจริง ๆ  ในประเทศญี่ปุ่น มีผู้พยายามฝึกปลาทองให้ว่ายไปมาตามคำสั่งโดยการใช้สัญลักษณ์เคลื่อนไหวนิ้ว ปลาทองที่ฝึกสามารถว่ายน้ำแปรขบวนได้ ว่ายหาทางออกในอุโมงค์ที่ดูค่อนข้างซับซ้อนได้ ว่ายลอดห่วง เล่นโปโลน้ำแข่งกันเอง สารพัด ซึ่งมันคงทำไม่ได้อย่างนี้ทุกตัว แต่เห็นแล้วต้องยอมรับว่าน่าทึ่งจริง ๆ ครับ ผมเองฝึกได้แค่ป้อนอาหารกับมือก็ดีใจจะแย่แล้ว
            หลายคนเคยลองเลี้ยงปลาทอง แล้วปรากฏว่าไปไม่รอด เลี้ยงทีไรตายเกลี้ยงทุกที สุดท้ายจึงเลิกและฝังใจไปเลยว่ามันเป็นปลาเลี้ยงยาก ซึ่งเป็นเรื่องเข้าใจผิดอีกแหละครับ การเลี้ยงปลาทองใช้หลักง่าย ๆ แค่ 3 ข้อเท่านั้น คือ 1 อย่าเลี้ยงหนาแน่น 2 ให้อาหารพอประมาณ และ 3 เปลี่ยนถ่ายน้ำให้บ่อย
                ขยายความหน่อยนะครับ
                1 อย่าเลี้ยงหนาแน่น
                บางคนมีตู้เล็กนิดเดียวแต่อยากเลี้ยงปลาทองหลาย ๆ ตัว ปลานั้นเมื่ออยู่กันอย่างเบียดเสียดแออัดก็จะเกิดความเครียด ว่ายไปได้หน่อยก็ชนกันตุ้บตั้บ ไม่นานก็จะเริ่มป่วยและตาย ซึ่งหากเป็นโรคที่สามารถติดต่อกันได้ก็จะพากันไปเฝ้าท่านยมกันเป็นหมู่คณะเลย
                สูตรคำนวณง่าย ๆ ว่า ปลาทองหนึ่งตัวต้องการปริมาตรน้ำอย่างน้อย 35 ลิตร ตู้มาตรฐานในบ้านเราขนาด 20 นิ้วสามารถจุน้ำได้เท่านั้นพอดี ก็เป็นอันว่าเลี้ยงได้ตัวเดียว นี่หมายถึงการเลี้ยงระยะยาวที่ปลาจะต้องเติบโตนะครับ ถ้าใครจะเริ่มเลี้ยงจากลูกปลาก็สามารถเลี้ยงได้มากกว่านั้น แต่ก็อย่าให้แน่นเกินไป และพอปลาเริ่มโตก็หาตู้ใหญ่ ๆ มาเปลี่ยนเสียด้วย
                2 ให้อาหารพอประมาณ
                คนส่วนใหญ่เวลาให้อาหารปลาทองจะโปรยให้เสียเยอะ เพราะเข้าใจไปเองว่าปลาทองมีกระเพาะที่ใหญ่กว่าปลาอื่น ๆ ซึ่งไม่จริงเลย ปลาทองมีขนาดอวัยวะภายในไม่ต่างกับปลากลุ่มเดียวกัน ที่เห็นเป็นพุงป่อง ๆ นั้นคือถุงลมหรือกระเพาะลม (swim bladder) ที่สั้นและกว้างกว่าปรกติเนื่องมาจากการคัดพันธุ์ให้ดูเด่นแปลกตาตามใจมนุษย์
                ปลาทองกินเก่งก็จริง แต่การให้อาหารในปริมาณมากเกินไปจะทำให้ปลามีปัญหาได้ง่าย อย่างแรกคือระบบทางเดินอาหารที่จะสามารถตันหรือโป่งออกเนื่องจากปริมาณอาหารที่เข้าไป อย่างที่สองคือปลาที่กินมากก็จะขับถ่ายมาก คุณภาพน้ำก็จะเสียอย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะมีระบบกรองดีเลิศเพียงใด ถ้าเลี้ยงปลาทองโดยไม่กำหนดปริมาณอาหารให้พอเหมาะก็จะมีปัญหาน้ำเสียตามมาเสมอ และน้ำเสียนี้เองจะเป็นตัวการหลักที่จะทำให้ปลาทองป่วย
            วิธีการให้อาหารปลาทองคือให้วันละมื้อเดียว โดยให้ในปริมาณที่ปลาจะกินหมดได้ภายใน 3-5 นาที (ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ปลาทอง บางชนิดกินเร็วเช่นปลาทองโคเมท ก็ให้แค่ 3 นาที ปลาทองพันธุ์อ้วน ๆ วุ้นเยอะ ๆ ทั้งหลายที่เคลื่อนไหวอุ้ยอ้ายก็ให้ 5 นาที เป็นต้น)
                3 เปลี่ยนถ่ายน้ำให้บ่อย
            การเปลี่ยนถ่ายน้ำ นอกจากจะช่วยกำจัดของเสียภายในตู้ออกไปได้ส่วนหนึ่งแล้ว ยังช่วยให้ปลาทองสดชื่นรื่นเริง จริงอยู่ว่าตู้ปลาสมัยใหม่จะมีระบบกรองน้ำติดตั้งไว้เสร็จ ทว่าปลาทองเป็นปลาที่กินมากและขับถ่ายเก่งเป็นเลิศ ระบบกรองน้ำไม่สามารถกำจัดหรือบำบัดน้ำในตู้ได้ทัน เราจึงต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำช่วยให้บ่อยเพื่อทำให้น้ำมีคุณภาพดีสม่ำเสมอ
                ในตู้ขนาดเล็กที่เลี้ยงปลาไม่หนาแน่น ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำ 20-25% ทุก 3 วัน ส่วนตู้ใหญ่ ๆ ระบบกรองดี ๆ อาจยืดได้เป็นสัปดาห์ละครั้ง ไม่ควรเกินกว่านี้
                (ต่อคราวหน้าครับ)